เมื่อชีวิตสมรสแตกสลายสามีภริยาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่ายไม่ประสงค์ที่จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาต่อไปอีกแล้ว โดยทั่วๆไปย่อมเป็นที่แน่นอนว่าความรักความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็จะต้องเสื่อมทรามลงไม่สามารถกลับคืนมาได้ดังเดิม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๑๔ และมาตรา ๑๕๑๖ จึงเปิดโอกาสให้สามีภริยาหย่าขาดจากกันเสียในระหว่างสมรสถึงแม้ว่าการหย่านั้นจะทำให้เกิดความขมขื่นโศกเศร้าเสียใจแก่สามีภริยาก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าการทรมานร่างกายและจิตใจของสามีภริยาสองฝ่ายไปตลอดชีวิตทั้งๆที่หมดรักกันแล้ว
บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวได้กำหนดกฎเกณฑ์การหย่าไว้ให้สามีภริยาเลือกที่จะใช้สิทธิหย่าด้วยกันถึงสองแบบ แบบแรก หย่าโดยความยินยอมของสามีภริยาทั้งสองฝ่าย แบบที่สอง หย่าโดยคำพิพากษา
การหย่าโดยความยินยอมนั้น เพียงแต่สามีภริยาทำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคนรู้เห็นก็เป็นอันใช้ได้ และการหย่านี้จะมีผลสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อสามีและภริยาได้จดทะเบียนการหย่าต่อนายทะเบียนแล้ว
ส่วนการหย่าโดยคำพิพากษานั้นต้องมีเหตุหย่าตามกฎหมายอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ ศาลจึงจะพิพากษาให้สามีภริยาหย่าขาดจากกันได้ เหตุฟ้องหย่าดังกล่าวก็ได้แก่
๑) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้ หรือมีชู้ หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ
๒) สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว ไม่ว่าความประพฤติชั่วนั้นจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ ถ้าเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่ง ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง ได้รับความดูถูกเกลียดชังเพราะเหตุที่คงเป็นสามีหรือภริยาของฝ่ายที่ประพฤติชั่วอยู่ต่อไป หรือได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควรในเมื่อเอาสภาพ ฐานะและความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ
๓) สามีหรือภริยาทำร้าย หรือทรมานร่างกายหรือจิตใจ หรือหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่ง หรือบุพการีของอีกฝ่ายหนึ่งทั้งนี้ต้องเป็นการร้ายแรง
๔) สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี
๕) สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษา ถึงที่สุดให้จำคุก และได้ถูกจำคุกเกินหนึ่งปีในความผิดที่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีส่วนก่อให้เกิดการกระทำความผิด หรือยินยอม หรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดนั้น และการเป็นสามีภริยากันต่อไปจะเป็นเหตุให้ อีกฝ่ายหนึ่ง ได้รับความเสียหาย หรือเดือดร้อนเกินควร
๖) สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปี หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลเป็นเวลาเกินสามปี
๗) สามีหรือภริยาถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ หรือไปจากภูมิลำเนา หรือถิ่นที่อยู่ เป็นเวลาเกินสามปี โดยไม่มีใครทราบแน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
๘) สามีหรือภริยาไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่งตามสมควร หรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง ทั้งนี้ถ้าการกระทำนั้น ถึงขนาดที่ อีกฝ่ายหนึ่งเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพ ฐานะ และความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาคำนึงประกอบ
๙) สามีหรือภริยาวิกลจริตตลอดมาเกินสามปี และความวิกลจริตนั้นมีลักษณะยากจะหายได้ กับทั้งความวิกลจริตถึงขนาดที่จะทนอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปไม่ได้
๑๑) สามีหรือภริยาเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรง อันอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่ายหนึ่ง และ โรคมีลักษณะเรื้อรังไม่มีทางที่จะหายได้
๑๒) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกาย ทำให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล
การหย่าทั้งสองแบบที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะมีได้ก็แต่สามีภริยาที่จดทะเบียนสมรส
กันถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น และจะเลือกหย่าแบบใดก็ได้มีผลสมบูรณ์เป็นการหย่าตามกฎหมายเหมือนกัน หากเป็นการหย่าด้วยความสมัครใจของสามีภริยาทั้งสองฝ่ายก็จะไม่ยุ่งยากนัก เพียงสามีภริยาไปดำเนินการจดทะเบียนหย่าต่อหน้านายทะเบียนก็เป็นอันเลิกเป็นผัวเมียกันตามกฎหมายนับแต่เวลาจดทะเบียนการหย่าเป็นต้นไป แต่ถ้าหากสามีและภริยาทั้งสองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สมัครใจที่จะหย่ากับอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องใช้สิทธิทางศาลฟ้องบังคับให้อีกฝ่ายหย่าขาดกับตนตามเหตุหย่าข้อใดข้อหนึ่งในสิบสองข้อ ก็เป็นอันเพียงพอที่ศาลจะพิพากษาให้สามีภริยาหย่าขาดจากกันได้ และจะมีผลเป็นการหย่าก็ต่อเมื่อคำพิพากษาของศาลนั้นถึงที่สุดแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น