ชายหญิงที่ประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา แต่กลัวว่าทรัพย์สินของตนเองที่มีมาแต่เดิมจะตกเป็นของอีกฝ่ายหนึ่งด้วยอิทธิพลของความรัก หรือด้วยเพราะเหตุผลประการใดๆก็ตาม ฝ่ายที่มีทรัพย์สินอยู่มากกว่า หรือที่เรียกว่ารวยกว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นก็อาจจะทำสัญญากันก่อนที่จะทำการจดทะเบียนสมรสกับอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ ซึ่งสัญญาที่ว่านี้เราเรียกว่า “สัญญาก่อนสมรส” สัญญาก่อนสมรสนี้คู่สามีภริยาทั้งสองฝ่ายจัดทำขึ้นเพื่อกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรื่องที่เกี่ยวกับทรัพย์สินว่าจะจัดการกันอย่างไรบ้าง
โดยหลักการแล้วสัญญาก่อนสมรสนั้นจะต้องมีการจดทะเบียนไว้ในทะเบียนสมรส พร้อมกับการจดทะเบียนสมรส มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะก็คือใช้บังคับไม่ได้ สัญญาก่อนสมรสจึงเป็นทางออกของคนที่ร่ำรวยที่ไม่อยากให้ทรัพย์สินของตนเองสูญหายไปกับคู่สามีหรือภริยาของตนที่อาจจะคิดไม่ซื่อในภายหลัง ซึ่งกฎหมายก็ได้กำหนดหาทางป้องกันมิให้เกิดปัญหาในการบริหารจัดการทรัพย์สินในอนาคตไว้ โดยให้คู่สามีภริยานั้นสามารถที่จะทำสัญญากันไว้ก่อนสมรสว่า ทรัพย์ใดเป็นของใคร ใครเป็นผู้มีอำนาจจัดการ และใครจะได้มาซึ่งทรัพย์สินนั้นส่วนข้อกำหนดในสัญญาก่อนสมรสนี้ คู่สามีภริยาสามารถที่จะกำหนดอย่างไรก็ได้ตามใจชอบแต่ต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทรัพย์สินเท่านั้นนะครับ ท่านผู้อ่านท่านใดที่มีทรัพย์สินมากเมื่อได้อ่านแล้วเรื่องนี้แล้วก็คงจะเกิดความสบายใจขึ้นไม่ต้องกลัวว่า สามีหรือภริยาจะเอาทรัพย์สินของตนเองไปใช้ หรือกลัวว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะหลอกลวงแต่งานกับตนเพื่อประโยชน์ทางด้านทรัพย์สิน
ดังนั้น การทำสัญญาก่อนสมรสไว้จึงถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีเป็นการป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นไว้ล่วงหน้า เพราะว่าบางท่านอาจมีทรัพย์สินมากมายเป็นหมื่นล้านแสนล้านก่อนที่จะมาอยู่กินเป็นสามีภริยากับอีกฝ่ายหนึ่ง และหากเกิดปัญหาในการแบ่งทรัพย์สินกันคู่สามีภริยาก็สามารถที่จะทำการแบ่งปันทรัพย์สินกันระหว่างสามีภริยาได้ง่ายขึ้น ส่วนข้อความในสัญญานั้นอาจเขียนกำหนดไว้ว่า ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดได้มาให้เป็นของฝ่ายนั้นแต่ฝ่ายเดียวไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนหรือรายได้จาการประกอบกิจการ อันนี้ก็สามารถที่จะทำสัญญาก่อนสมรสได้เช่นกัน
เมื่อกฎหมายอนุญาตให้คู่สามีภริยาทำสัญญาก่อนสมรสได้แล้วกฎหมายยังอนุญาตให้คู่สามีภรรยาทำสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินกันในระหว่างสมรสได้อีกครับ แต่การทำสัญญาระหว่างสมรสนั้น มีข้อเสียอยู่ว่า คู่สามีภริยาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถขอยกเลิกได้ในระหว่างที่เป็นสามีภริยากัน หรือภายในหนึ่งปีหลังจากขาดจากการเป็นสามีภริยากันได้ ส่วนสัญญาก่อนสมรสนั้นจะเลิกกันเองไม่ได้นอกจากจะได้รับอนุญาตจากศาลครับ
การทำสัญญาก่อนสมรส และสัญญาระหว่างสมรสนั้นจะไม่กระทบกระเทือนต่อบุคคลภายนอกที่กระทำการโดยสุจริต ก็คือบุคคลภายนอกต้องไม่ทราบว่ามีสัญญาดังกล่าวอยู่ก่อน และหากรู้ก็คงไม่เข้าทำสัญญากับคู่สามีภริยานั้น ฉบับนี้ผู้เขียนก็มีตัวอย่างการทำสัญญาระหว่างสมรสอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งศาลฎีกาได้เคยมีคำพิพากษาไว้แล้ว
ข้อเท็จจริงก็มีอยู่ว่า นายแดงกับนางเหลืองเป็นสามีภริยากันภายหลังจดทะเบียนสมรสกันแล้ว วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๔๑ นายแดงกับนางเหลืองได้ทำสัญญากันในระหว่างสมรสเพื่อแบ่งสินสมรสกันโดยนายแดงตกลงให้ที่ดิน ๕ แปลง แก่นางเหลือง และไม่ขอเกี่ยวข้องกับที่ดิน ๕ แปลง นี้ ต่อมาวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๔๒ นายแดงได้ทำหนังสือให้ความยินยอมให้นางเหลืองทำนิติกรรมใดๆในที่ดิน ๕ แปลงได้ตามความประสงค์และไม่ขอยกเลิกตลอดไป ครั้นเมื่อวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๒ นางเหลืองได้โอนที่ดินให้บุตรทั้งหมด นายแดงจึงบอกเลิกสัญญาที่ทำไว้กับนางเหลือ ในวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๔๔
จากข้อเท็จจริงข้างต้น นายแดงสามารถยกเลิกสัญญาระหว่างสมรสได้หรือไม่ และบุตรจะต้องคืนที่ดินให้แก่นางเหลืองและนายแดงตามเดิมที่เป็นอยู่ไหม
ศาลฎีกาบอกว่า นางเหลืองได้ยกที่ดิน ๕ แปลงให้แก่บุตรตั้งแต่ในขณะที่นางเหลืองยังมีสิทธิตามข้อตกลงแบ่งทรัพย์สินกัน ซึ่งขณะนั้นยังไม่ถูกบอกล้าง ผลของการบอกเลิกสัญญาของนายแดงที่บอกเลิกภายหลังที่ทำสัญญานั้นยังคงไม่ถูกบอกล้าง จึงไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิของบุตรซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้รับทรัพย์สินนั้น
เรื่องนี้ก็สรุปได้ว่า นายแดงบอกเลิกสัญญาในระหว่างสมรสได้ แต่ไม่มีผลย้อนหลังกลับไปให้กระทบกระเทือนบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต ก็คือ ผู้ที่ได้รับทรัพย์โดยสุจริตนั่นเอง ส่วนทางแก้ของนายแดงนั้น นายแดงต้องบอกเลิกสัญญาในระหว่างสมรสก่อนการโอนที่ดินของนางเหลืองให้แก่บุตร หรือต้องไม่ทำสัญญาระหว่างสมรสเพราะการจัดการสินสมรสทั้งนางเหลืองและนายแดงต้องจัดการสินสมรสร่วมกัน ดังนี้นางเหลืองก็ไม่มีสิทธิที่จะโอนที่ดินให้แก่บุตรได้