ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า ตำรวจกับนายอำเภอและเจ้าพนักงานป่าไม้ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบว่ามีผู้แผ้วถางที่ดินที่เกิดเหตุ เนื้อที่ประมาณ ๓๐ ไร่ มีตอไม้ ท่อนไม้สด บ้านพัก เล้าไก่ สระน้ำ บ่อน้ำ และตรวจยึดไม้ท่อนในที่เกิดเหตุไม่ว่าจะเป็นไม้สัก ไม้พลวง ไม้ท่อนที่แปรรูปและที่ยังไม่แปรรูป เจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดของกลางทั้งหมด และจับกุมนายแดงซึ่งเป็นผู้ดูแลที่ดินที่เกิดเหตุไปดำเนินคดี ต่อมานายแดงถูกฟ้องต่อศาลแต่นายแดงให้การปฏิเสธต่อสู้ว่า เป็นเพียงผู้จัดการ ดูแล และครอบครองแทนผู้อื่น โดยขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำคุกนายแดง ๓ ปี นายแดงให้การเป็นประโยชน์ในชั้นสอบสวน ลดโทษให้หนึ่งในสามคงให้ลงโทษจำคุก ๒ ปี ริบของกลาง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องนายแดงเพราะเห็นว่า การกระทำของนายแดงไม่มีความผิด แต่ให้ริบของกลาง
ศาลฎีกาพิพากษาว่า ที่ดินที่เกิดเหตุอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ มีการตัดฟันโค่นเผาไม้ มีไม้แปรรูปและยังไม่แปรรูป และนำไม้ไปก่อสร้างเป็นสิ่งปลูกสร้างในที่ดิน รวมทั้งยึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุ การที่นายแดงเป็นผู้จัดการดูแล และครอบครองแทนพรรคพวกจึงเป็นความผิด พิพากษากลับให้บังคับไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จากคำวินิจฉัยของศาลฎีกาข้างต้นทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่ครอบครองป่าสงวนแห่งชาติ ตัด ฟัน โค่น มีไม้แปรรูป หรือที่ยังไม่แปรรูป ตามข้อเท็จจริงที่กล่าวมาข้างต้น แน่นอนว่ามีความผิดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการครอบครองเพื่อตนเอง หรือครอบครองเพื่อผู้อื่น เพราะคำว่า ครอบครองตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ฯ และพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติฯ นั้น มีความหมายรวมถึง การครอบครองเพื่อตนเอง และหรือครอบครองเพื่อผู้อื่นด้วย ดังนั้น แม้นว่า นายแดงครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุข้างต้นเพื่อผู้อื่นก็ตาม นายแดงก็มีความผิดตามกฎหมาย