วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

“ครอบครองที่ดินและไม้แทนผู้อื่นในป่าสงวน”

            การครอบครองที่ดิน  ไม้หวงห้ามแปรรูปและไม้แปรรูปในป่าสงวนแห่งชาติแทนผู้อื่นนั้นจะมีความผิดหรือไม่เพียงใด  นั้น  เรื่องนี้ศาลฎีกาได้เคยมีคำพิพากษาไว้แล้ว
            ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า  ตำรวจกับนายอำเภอและเจ้าพนักงานป่าไม้ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ  พบว่ามีผู้แผ้วถางที่ดินที่เกิดเหตุ  เนื้อที่ประมาณ  ๓๐  ไร่  มีตอไม้  ท่อนไม้สด  บ้านพัก  เล้าไก่  สระน้ำ  บ่อน้ำ  และตรวจยึดไม้ท่อนในที่เกิดเหตุไม่ว่าจะเป็นไม้สัก  ไม้พลวง  ไม้ท่อนที่แปรรูปและที่ยังไม่แปรรูป  เจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดของกลางทั้งหมด  และจับกุมนายแดงซึ่งเป็นผู้ดูแลที่ดินที่เกิดเหตุไปดำเนินคดี  ต่อมานายแดงถูกฟ้องต่อศาลแต่นายแดงให้การปฏิเสธต่อสู้ว่า  เป็นเพียงผู้จัดการ  ดูแล  และครอบครองแทนผู้อื่น  โดยขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
            ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำคุกนายแดง    ปี  นายแดงให้การเป็นประโยชน์ในชั้นสอบสวน  ลดโทษให้หนึ่งในสามคงให้ลงโทษจำคุก    ปี  ริบของกลาง
            ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องนายแดงเพราะเห็นว่า  การกระทำของนายแดงไม่มีความผิด  แต่ให้ริบของกลาง
            ศาลฎีกาพิพากษาว่า  ที่ดินที่เกิดเหตุอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ  มีการตัดฟันโค่นเผาไม้  มีไม้แปรรูปและยังไม่แปรรูป  และนำไม้ไปก่อสร้างเป็นสิ่งปลูกสร้างในที่ดิน  รวมทั้งยึดถือครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุ  การที่นายแดงเป็นผู้จัดการดูแล  และครอบครองแทนพรรคพวกจึงเป็นความผิด  พิพากษากลับให้บังคับไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จากคำวินิจฉัยของศาลฎีกาข้างต้นทำให้เราเห็นได้ชัดเจนว่า  ไม่ว่าใครก็ตามที่ครอบครองป่าสงวนแห่งชาติ  ตัด  ฟัน  โค่น  มีไม้แปรรูป  หรือที่ยังไม่แปรรูป  ตามข้อเท็จจริงที่กล่าวมาข้างต้น  แน่นอนว่ามีความผิดทั้งหมด  ไม่ว่าจะเป็นการครอบครองเพื่อตนเอง  หรือครอบครองเพื่อผู้อื่น  เพราะคำว่า  ครอบครองตาม  พ.ร.บ.  ป่าไม้ฯ  และพ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติฯ  นั้น  มีความหมายรวมถึง  การครอบครองเพื่อตนเอง  และหรือครอบครองเพื่อผู้อื่นด้วย  ดังนั้น  แม้นว่า  นายแดงครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุข้างต้นเพื่อผู้อื่นก็ตาม  นายแดงก็มีความผิดตามกฎหมาย