ค่าอุปการะเลี้ยงดูระหว่างบิดามารดากับบุตรผู้เยาว์นั้น กฎหมายกำหนดไว้ให้บุตรผู้เยาว์สามารถที่จะเรียกร้องเอาจากบิดามารดาได้ หากไม่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดู หรือได้รับการอุปการะเลี้ยงดูแต่ไม่เพียงพอแก่อัตภาพ ซึ่งค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์นี้ บิดาหรือมารดาจะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างเหตุว่า บิดาหรือมารดาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ยกดอกผลของสินสมรสของตนให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์แล้ว และไม่ต้องรับผิดในค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์อีกต่อไปได้หรือไม่นั้น ปัญหานี้ศาลฎีกาได้เคยมีคำพิพากษาไว้แล้ว
ข้อเท็จจริงก็มีอยู่ว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน 2 คน จำเลยแยกกันอยู่กับโจทก์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 แต่บุตรผู้เยาว์ทั้งสองยังคงอยู่อาศัยกับโจทก์ตลอดมา โดยจำเลยยินยอมมอบดอกผลค่าเช่าห้องในอาคารชุด ซึ่งเป็นสินสมรสให้โจทก์ เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง ต่อมาจำเลยได้ขาดการติดต่อกับโจทก์และไม่อุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ทั้งสอง
โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ หรือสำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาหรือเทียบเท่า หรือชั้นสูงสุด
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า เมื่อปี 2542 โจทก์และจำเลยมีเรื่องทะเลาะกันและบิดาโจทก์ได้ทำร้ายร่างกายจำเลย โจทก์และจำเลยจึงตกลงแยกกันอยู่โดยได้ทำหนังสือเรื่องทรัพย์สินระหว่างสมรสไว้ จำเลยมีรายจ่ายและภาระหนี้สินจำนวนมาก ไม่อยู่ในฐานะที่จะอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองได้ โจทก์เป็นผู้มีฐานะทางการเงินและฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าจำเลยมาก สามารถให้การอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่บุตรผู้เยาว์ทั้งสองได้จากค่าเช่า ซึ่งเป็นดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินที่โจทก์และจำเลยทำมาหาได้ร่วมกัน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เป็นคดีนี้ เพราะโจทก์และจำเลยยังมิได้หย่าขาดจากกัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแก่โจทก์เดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ต่อคน นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแก่โจทก์เดือนละ 7,500 บาท ต่อบุตรผู้เยาว์แต่ละคน นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์ทั้งสองจะบรรลุนิติภาวะ
โจทก์และจำเลยฎีกา
โจทก์ฎีกาว่า ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดมาเดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท เหมาะสมแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์อ้าง ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๖๔ มาตัดทอนค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นการไม่ชอบ ส่วนจำเลยฎีกาว่า จำเลยมีรายจ่ายและหนี้สินมากว่ารายรับ และได้ยกรายได้จากสินสมรสในส่วนขอจำเลยให้เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดุบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแล้วจำเลยจึงไม่ต้องรับผิด
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ประการแรก ป.พ.พ. มาตรา 1546 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “บิดามารดาจำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์...” บทบัญญัติดังกล่าว กำหนดให้บิดาและมารดามีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะปฏิเสธไม่ได้
ประการที่สอง การกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ตามป.พ.พ. มาตรา ๑๕๙๘/๒๕๓๘ ให้ศาลคำนึงถึงความสามารถของผู้มีหน้าที่ต้องให้ ฐานะของผู้รับและพฤติการณ์แห่งกรณี และเมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามทางนำสืบของโจทก์และจำเลยว่า ต่างฝ่ายต่างมีรายรับและรายจ่ายของตนเอง โดยโจทก์มีรายรับจากค่าเช่าห้องในอาคารชุด และต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแต่พอนำค่าเช่ามาเป็นค่าใช้จ่ายได้ ส่วนจำเลยมีรายได้จากการเป็นอาจารย์สอนหนังสือ และจากการสอนพิเศษ แต่มีรายจ่ายส่วนตัวและหนี้สิน เห็นว่า ค่าใช้จ่ายในส่วนของจำเลยเกิดจากจำเลยแยกไปอยู่ต่างหากเอง และหนี้สินที่จำเลยก่อขึ้นก็ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว แม้โจทก์และจำเลยจะมีภาระในการอุปการะเลี้ยงดูบุพการีด้วยก็ตามก็เชื่อว่าโจทก์และจำเลยยังมีความสามารถที่จะให้การอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาวทั้งสองไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
ประการที่สาม การที่จำเลยอ้างว่า ค่าเช่าห้องในอาคารชุดเป็นดอกผลของสินสมรส เมื่อจำเลยมอบให้โจทก์ เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง เท่ากับจำเลยได้ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้เยาว์ทั้งสองแล้วนั้น เห็นว่า ส่วนแบ่งในสินสมรสของจำเลยเป็นเหตุคนละส่วนกับหน้าที่ของจำเลยในฐานะบิดาที่จำต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองตามกฎหมาย จำเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุดังกล่าวมาปฏิเสธความรับผิดได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๖๘/๒๕๕๒)
คำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้นอาจกล่าวได้โดยสรุปว่า ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์นั้น บิดาหรือมารดาไม่สามารถอ้างเหตุที่ตนเองได้ให้ดอกผลส่วนแบ่งของสินสมรสเป็นค่าอุปการเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ เพื่อมายกเว้นหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดูบุตรตามกฎหมายได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น