“พนัยกรรมไม่มีผลบังคับถึงสินสมรส”
ท่านผู้อ่านครับสามีหรือภริยาจะทำพินัยกรรมกำหนดการเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สินของตน
หรือในการต่างๆอันจะให้เกิดเป็นผลบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อตนตายไปแล้วก็ได้ในสินส่วนตัว แต่สามีหรือภริยาไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกสินสมรสที่เกินกว่าส่วนของตนให้แก่บุคคลใดได้ ซึ่งในเรื่องเกี่ยวกับการการทำพินัยกรรมของสามีหรือภริยา ในส่วนที่เป็นสินสมรสนี้ ศาลฎีกาได้เคยมีคำพิพากษาไว้เป็นบรรทัดฐานแล้วว่า สามีหรือภริยาไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกสินสมรสที่เกินกว่าส่วนของตนให้แก่บุคคลใดได้
ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า โจทก์กับนายเรียน วงศ์สมบูรณ์
อยู่กินเป็นสามีภริยากันมาก่อน ต่อมาจึงได้จดทะเบียนสมรสกันในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม
๒๕๒๖
แต่ได้จดทะเบียนหย่าเมื่อวันที่
๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ ในระหว่างอยู่กินด้วยกันมีที่ดินพิพาท ๒ แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.)
เลขที่ ๖
และ ๗ ตำบลเขาไม้แก้ว อำเภอกบินทร์บุรี
จังหวัดปราจีนบุรี และบ้านเลขที่ ๘๘๙ หมู่
๑
ถนนพัฒนา ตำบลพนมสารคาม อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา
เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายเรียน แต่มีชื่อนายเรียนเป็นเจ้าของที่ดินและเจ้าบ้านเพียงผู้เดียว
ต่อมาวันที่
๘ เมษายน ๒๕๓๔ นายเรียนได้จดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาททั้ง ๒ แปลง
โดยเสน่หาแก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบุตรอันเกิดจากภริยาเดิมของนายเรียนโดยมิได้รับความยินยอมเป็นหนังสือของโจทก์
แล้วจำเลยที่ ๒ ได้แบ่งขายที่ดินบางส่วนของที่ดินพิพาททั้ง ๒ แปลง
ให้แก่นายพิศิษฐ์ พันธุ์กิติยะ ในวันที่ ๙
เมษายน
๒๕๓๕ โดยให้ถือกรรมสิทธิ์รวม
ต่อมาทางราชการได้ออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาททั้ง ๒ แปลง
เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๐๘๐ และ ๒๖๐๘๑ ครั้นถึงวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๓๖ นายเรียนถึงแก่ความตาย
ก่อนถึงแก่ความตายนายเรียนได้ทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองยกบ้านเลขที่ ๘๘๙ ให้แก่จำเลยที่
๑ ซึ่งเป็นบุตรอันเกิดจากภริยาเดิมของนายเรียน และจำเลยที่ ๑ ได้รับโอนมรดกมาเป็นของจำเลยที่
๑ โจทก์จึงขอแบ่งสินสมรสจากจำเลยที่
๑ และจำเลยที่ ๒ แต่จำเลยทั้งสองไม่ยินยอมแบ่งโจทก์จึงนำเรื่องนี้ฟ้องต่อศาล
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเรียน วงศ์สมบูรณ์
โจทก์กับนายเรียนได้จดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา
ต่อมานายเรียนได้ถึงแก่ความตายโดยยังมิได้ทำการแบ่งสินสมร จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุตรและเป็นทายาทของนายเรียนเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินดังกล่าวไว้ทั้งหมด
จำเลยทั้งสองจึงมีหน้าที่แบ่งปันสินสมรสให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง โจทก์ได้ทวงถามแล้ว
แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย
ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันนำสินสมรสตามฟ้องมาแบ่งให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งหากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงแทนเจตนาของจำเลยทั้งสองหากไม่สามารถแบ่งปันทรัพย์สินได้ให้เอาทรัพย์สินดังกล่าวออกประมูลระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง
และหากไม่สามารถประมูลกันระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองได้
ให้เอาทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งปันระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองคนละครึ่ง
หากไม่สามารถนำสินสมรสมาแบ่งให้แก่โจทก์ได้ดังกล่าวข้างต้นให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระราคาทรัพย์ให้แก่โจทก์เป็นเงิน
๒,๐๖๑,๒๗๕ บาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินทั้งสองแปลงตามฟ้อง
นายเรียนได้ยกให้จำเลยทั้งสองแล้วในระหว่างโจทก์กับนายเรียนยังเป็นสามีภริยากัน
โดยโจทก์ทราบดีแล้ว ถือว่าได้ให้สัตยาบันแล้ว สำหรับบ้านเลขที่ ๘๘๙ นั้น
นายเรียนได้ทำพินัยกรรมยกให้จำเลยที่ ๑ เมื่อวันที่
๓๐ เมษายน ๒๕๓๖ โจทก์ทราบดีและเคยคัดค้านแต่ไม่ได้ฟ้องคดีภายในกำหนดอายุความ
ถือว่าโจทก์ไม่ติดใจคัดค้านและให้สัตยาบันแล้วราคาทรัพย์สินคิดตามเป็นจริง
ที่ดินทั้งสองแปลงซึ่งปัจจุบันออกเป็นโฉนดที่ดินแล้วทั้งสองแปลงหักส่วนที่จำเลยที่
๒ โอนขายให้แก่บุคคลภายนอกไป ๑๔ ไร่
คงเหลือเพียง ๑๐๗ ไร่ ๓ งาน ๔๒ ตารางวา มีราคารวม
๑,๐๗๓,๔๒๐ บาท บ้านมีราคา ๕๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียง ๗๘๖,๗๑๐ บาท เท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ แบ่งบ้านเลขที่ ๘๘๙ หมู่
๑ ถนนพัฒนา ตำบลพนมสารคาม
จังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมเฟอร์นิเจอร์ประเภทตู้ โต๊ะรับแขก อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ติดตั้งภายในบ้านให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งและให้จำเลยที่
๒ แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๘๐ และ ๒๖๘๑ตำบลเข้าไม้แก้ว อำเภอกบินทร์บุรี
จังหวัดปราจีนบุรีให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง
หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ หากไม่สามารถแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวได้
ให้เอาทรัพย์สินดังกล่าวออกประมูลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ และกับจำเลยที่ ๒ หากไม่สามารถประมูลกันระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ให้เอาทรัพย์ดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งปันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่
๑ และกับจำเลยที่ ๒ คนละครึ่ง คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาแก้เป็นว่า
ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติว่า
โจทก์กับนายเรียน วงศ์สมบูรณ์ อยู่กินเป็นสามีภริยากันมาก่อน
ต่อมาจึงได้จดทะเบียนสมรสกันในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๖ แต่ได้จดทะเบียนหย่าเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์
๒๕๓๕ ที่ดินพิพาท ๒ แปลง
ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) เลขที่ ๖ และ ๗ ตำบลเขาไม้แก้ว
อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี และบ้านเลขที่ ๘๘๙ หมู่ ๑ ถนนพัฒนา
ตำบลพนมสารคาม อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา
เป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายเรียน แต่มีชื่อนายเรียนเป็นเจ้าของที่ดินและเจ้าบ้านเพียงผู้เดียว
ต่อมาวันที่ ๘ เมษายน
๒๕๓๔ นายเรียนได้จดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาททั้ง ๒ แปลง
โดยเสน่หาแก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบุตรอันเกิดจากภริยาเดิมของนายเรียนโดยมิได้รับความยินยอมเป็นหนังสือของโจทก์
แล้วจำเลยที่ ๒ ได้แบ่งขายที่ดินบางส่วนของที่ดินพิพาททั้ง ๒ แปลง
ให้แก่นายพิศิษฐ์ พันธุ์กิติยะ ในวันที่ ๙
เมษายน
๒๕๓๕ โดยให้ถือกรรมสิทธิ์รวม ต่อมาทางราชการได้ออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินพิพาททั้ง ๒ แปลง
เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๖๐๘๐ และ ๒๖๐๘๑ ครั้นถึงวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๓๖ นายเรียนถึงแก่ความตาย
ก่อนถึงแก่ความตายนายเรียนได้ทำพินัยกรรมฝ่ายเมืองยกบ้านเลขที่ ๘๘๙ ให้แก่จำเลยที่
๑ ซึ่งเป็นบุตรอันเกิดจากภริยาเดิมของนายเรียน และจำเลยที่ ๑ ได้รับโอนมรดกมาเป็นของจำเลยที่ ๑ แล้วที่โจทก์ฎีกาว่า
โจทก์มีสิทธิฟ้องให้จำเลยที่ ๒ แบ่งที่ดินพิพาททั้ง ๒ แปลง
ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่งโดยไม่ต้องฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ที่ดินระหว่างนายเรียนกับจำเลยที่ ๒ ก่อนนั้น
เห็นว่า การที่นายเรียนให้ที่ดินทั้ง ๒ แปลงโดยเสน่หาแก่จำเลยที่ ๒ เป็นกรณีที่นายเรียนจัดการสินสมรสโดยปกติต้องได้รับความยินยอมเป็นหนังสือของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๔๗๖(๕) และ ๑๔๗๙
เมื่อนายเรียนให้ที่ดินพิพาททั้ง ๒ แปลง
แก่จำเลยที่ ๒ โดยมิได้รับความยินยอมเป็นหนังสือของโจทก์
โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ดังกล่าวภายในกำหนดเวลา ๑ ปี
นับแต่วันที่ได้รู้เรื่องที่นายเรียนจดทะเบียนการให้ที่ดินแก่จำเลยที่ ๒ หรือภายใน
๑๐ ปี
นับแต่วันจดทะเบียนการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๘๐ เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนการให้
ที่ดินทั้ง ๒ แปลง จึงยังเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๒ การที่จำเลยที่ ๒ ครอบครองที่ดินทั้ง ๒ แปลงมิใช่เป็นการครอบครองในฐานะทายาทของนายเรียนที่จะต้องมีหน้าที่แบ่งสินสมรสให้โจทก์แทนนายเรียน
แต่จำเลยที่ ๒ ครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เนื่องจากได้รับยกให้จากนายเรียน
จำเลยที่ ๒ จึงไม่มีหน้าที่แบ่งสินสมรสของนายเรียนให้โจทก์
ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า
โจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมของนายเรียนที่ยกบ้านเลขที่ ๘๘๙ ให้แก่จำเลยที่
๑ ภายใน
๑ ปี
คดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้วนั้น เห็นว่า แม้บ้านเลขที่ ๘๘๙ จะเป็นสินสมรสระหว่างนายเรียนกับโจทก์ แต่ที่นายเรียนทำพินัยกรรมยกบ้านเลขที่ ๘๘๙ ให้แก่จำเลยที่
๑ มิใช่เป็นการจัดการสินสมรสที่นายเรียนจะต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ซึ่งเป็นภริยา
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๖
วรรคหนึ่ง
นายเรียนจึงมีสิทธิทำพินัยกรรมยกบ้านเลขที่
๘๘๙ ที่นายเรียนมีกรรมสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยที่
๑ ได้ตามมาตรา ๑๔๗๖ วรรคสอง แต่นายเรียนไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ในบ้านเลขที่๘๘๙
อีกครึ่งหนึ่งของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ ๑ ได้
เพราะบ้านพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ครึ่งหนึ่ง ที่นายเรียนทำพินัยกรรมยกบ้านเลขที่ ๘๘๙ ทั้งหลังให้แก่จำเลยที่
๑ จึงไม่มีผลผูกพันส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ โจทก์ในฐานะเป็นเจ้าของมีสิทธิติดตามเอาคืนทรัพย์ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนได้
โดยไม่มีกำหนดเวลาการใช้สิทธิเว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ
เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอแบ่งบ้านเลขที่ ๘๘๙ อันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนายเรียนได้
โดยไม่ต้องฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมของนายเรียน พิพากษายืน (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๕๔๔/๒๕๔๒)
คำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้นเห็นได้ชัดว่า การทำพินัยกรรม มิใช่เป็นการจัดการสินสมรสที่จะต้องได้รับความยินยอมคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๔๗๖ วรรคหนึ่ง แม้ ร. มีสิทธิทำพินัยกรรมยกบ้านพิพาทที่เป็นสินสมรสระหว่าง ร. กับโจทก์ที่ ร. มีกรรมสิทธิ์อยู่ครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๔๗๖ วรรคสอง ได้ก็ตาม แต่ ร. ไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ในบ้านส่วนของโจทก์อีกครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยได้
ดังนั้น การที่ ร.
ทำพินัยกรรมยกบ้านสินสมรสทั้งหลังให้แก่จำเลยจึงไม่มีผลผูกพันส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์
โจทก์ในฐานะเป็นเจ้าของมีสิทธิฟ้องติดตามเอาคืนทรัพย์ส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนได้
โดยไม่มีกำหนดเวลาการใช้สิทธิ เว้นแต่จะถูกจำกัดด้วยอายุความได้สิทธิ
โดยโจทก์ไม่ต้องฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรม ของ ร. ก่อนแต่อย่างใด อนึ่ง
การทำพินัยกรรมในส่วนสินสมรสนี้ แม้นว่าสามีหรือภริยาผู้ทำพินัยกรรมจะให้ความยินยอมในการทำพินัยกรรม
โดยลงลายมือชื่อในพินัยกรรมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยกสินสมรสของตนให้แก่บุคคลใดได้ก็ตาม การทำพินัยกรรมของสามีหรือภริยานั้น
ก็ไม่ผูกพันสินสมรสของอีกฝ่ายหนึ่งให้ต้องตกเป็นของผู้รับพินัยกรรมด้วยไม่