“ข้อตกลงแบ่งสินสมรส”
ท่านผู้อ่านครับคู่สามีภริยาจะตกลงทำการหย่ากัน โดยทำบันทึกตกลงกันเองเป็นหนังสือก็สามารถทำได้ และเมื่อตกลงหย่าขาดจากกันแล้วกฎหมายยังให้สิทธิสามีภริยาแบ่งสินสมรสกันไปในคราวเดียวกันได้ด้วย โดยการแบ่งสินสมรสนั้นให้ฝ่ายชายและหญิงได้ส่วนในสินสมรสเท่าๆกัน มุมกฎหมายฉบับนี้ผู้เขียนจะนำเอาเรื่องเกี่ยวกับข้อตกลงหย่า กรณีที่คู่สามีภริยาตกลงหย่ากันเองแล้วทำบันทึกท้ายทะเบียนหย่าว่า “ที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์เมื่อผ่อนชำระเสร็จสิ้นจะยกกรรมสิทธิ์ให้ฝ่ายหญิง” นั้น มีผลทางกฎหมายอย่างไร และเมื่อในระหว่างผ่อนชำระยังไม่เสร็จสิ้นสามี กลับนำเอาทาวน์เฮาส์พร้อมที่ดินไปขายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากภริยา ภริยามีสิทธิฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการขายได้หรือไม่ เรื่องนี้ศาลฎีกาได้เคยมีคำพิพากษาไว้แล้วครับ
ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า โจทก์ร่วมจดทะเบียนสมรสกับจำเลย เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๒๗ ต่อมาเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๓๖ โจทก์ร่วมซื้อทาวเฮ้าส์ เลขที่ ๑๖๑/๘๙๙ ตั้งอยู่บนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๖๑/๘๙๙ ตั้งอยู่บนโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๒๗๓๓ จากบริษัทแสนชัยพล ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด โดยการซื้อได้รับความยินยอมจากจำเลย และโจทก์ร่วมได้จดทะเบียนจำนองไว้แก่บริษัทเครดิตฟองซิเอร์สินเคหการ จำกัด ต่อมาวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ โจทก์ร่วมจดทะเบียนหย่ากับจำเลย และทำบันทึกด้านหลังทะเบียนหย่าว่า “เรื่องทรัพย์สินที่ดิน ๒๑ ตารางวา พร้อมบ้านเลขที่ ๑๖๑/๘๙๙ ซึ่งอยู่ระหว่างผ่อนส่งกับบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ จำกัด ซึ่งหากผ่อนส่งชำระเสร็จสิ้นแล้วจะยกกรรมสิทธิ์ให้ฝ่ายหญิง”
ต่อมาวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๔๐ โจทก์ร่วมได้ขายที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นน้องสาวในราคา ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามหนังสือสัญญาขายที่ดินไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย แล้วโจทก์นำไปจดทะเบียนจำนองไว้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์ ต่อมาเกิดข้อพิพาทระหว่างโจทก์ร่วม โจทก์ และจำเลยซึ่งเป็นผู้อาศัยอยู่ในทาวน์เฮาส์ที่ไม่ยอมออกจากทาวน์เฮาส์ โจทก์จึงฟ้องขับไล่ขอให้ศาลบังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากทาวน์เฮาส์ และที่ดินที่ตนซื้อมาจากโจทก์ร่วม(สามีจำเลย)
จำเลยให้การและฟ้องแย้งโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาขอให้ยกฟ้องและเพิกถอนการซื้อขายที่ดินและทาวน์เฮาส์พิพาทระหว่างโจทก์กับนายวุฒิไกร(สามีจำเลย)เฉพาะส่วนของ จำเลย ให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและทาวน์เฮาส์พิพาทให้แก่จำเลยกึ่งหนึ่ง มิฉะนั้นให้ใช้ราคา ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจำเลยจะได้รับชำระแล้วเสร็จ
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกนายวุฒิไกร เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗(๓) ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ร่วมขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์กับโจทก์ร่วมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๗๓๓ ตำบลบางขุนศรี (บางเสาธง) อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร พร้อมทาว์น์เฮาส์พิพาทเลขที่ ๑๖๑/๘๙๙ เป็นของจำเลยกึ่งหนึ่ง หากโอนไม่ได้ให้ใช้ราคา ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ (ที่ถูกค่าฤชาธรรมเนียมทั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งให้เป็นพับ)
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้โจทก์ใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ ๕,๐๐๐ บาท แทนจำเลย
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้มีประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่มาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาตามคำฎีกาของโจทก์ว่า บันทึกข้อตกลงหลังทะเบียนหย่าที่เขียนไว้ว่า “เรื่องทรัพย์สินที่ดิน ๒๑ ตารางวา พร้อมทาวน์เฮาส์เลขที่ ๑๖๑/๘๙๙ ซึ่งอยู่ระหว่างผ่อนส่งกับบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ จำกัด ซึ่งหากผ่อนส่งชำระเสร็จสิ้นแล้วจะยกกรรมสิทธิ์ให้ฝ่ายหญิง” มีความหมายว่า ให้ทรัพย์สินพิพาทตกเป็นของโจทก์ร่วมทั้งหมดหรือไม่ ในระหว่างผ่อนชำระ หากตกเป็นของโจทก์ร่วม โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและทาวน์เฮาส์พิพาทหรือไม่ และจำเลยมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการซื้อขายระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วมได้หรือไม่เพียงใด
ศาลฎีกาแปลความหมายของข้อตกลงนี้ว่า
ประการแรก เห็นว่า ข้อตกลงไม่มีข้อความตอนใดระบุว่า จำเลยยกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินพิพาทให้แก่โจทก์ร่วมทั้งหมด เพียงแต่ถ้าหากโจทก์ร่วมผ่อนชำระหมดแล้ว โจทก์ร่วมจะยกกรรมสิทธิ์ส่วนของโจทก์ร่วมให้แก่จำเลยเท่านั้น
ประการที่สอง เห็นว่า เมื่อข้อตกลงไม่มีข้อความใดแบ่งแยกสินสมรสกันไว้ว่า จำเลยยกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินพิพาทให้แก่โจทก์ร่วมทั้งหมด การแบ่งสินสมรสจึงต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๓๓ ที่บัญญัติว่า ให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน คือ คนละกึ่งหนึ่ง เมื่อข้อตกลงหลังทะเบียนหย่า ไม่มีข้อตกลงในการแบ่งแยกสินสมรสกันไว้ โจทก์ร่วมและจำเลยจึงยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์สินพิพาทคนละส่วนเท่าๆกันในทุกส่วนของทรัพย์สินพิพาท
ประการที่สาม เห็นว่า เมื่อโจทก์ร่วมนำที่ดินและทาวน์เฮาส์ซึ่งเป็นสินสมรสที่ยังไม่ได้แบ่งแยกกันไว้ขณะทำบันทึกท้ายทะเบียนหย่าไปขาย ซึ่งจำเลยยังคงมีกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ร่วม โดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลย สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์ จึงมีผลผูกพันเฉพาะส่วนกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วมเท่านั้นไม่ผูกพันจำเลย
เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันกับจำเลยในทุกส่วนแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและทาวน์เฮาส์พิพาท ส่วนจำเลยมีสิทธิฟ้องให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินและทาวน์เฮาส์ระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วม ในส่วนที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ของจำเลยได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๖๐/๒๕๕๒)
คำพิพากษาของศาลฎีกาที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ก่อนที่จะทำบันทึกแบ่งทรัพย์สินกันระหว่างสามีภริยาไว้ในท้ายทะเบียนหย่า หรือทำข้อตกลงกันเองก็ต้องระบุกันไว้ให้ชัดเจนว่า ใครได้กรรมสิทธิ์ในสินสมรสระหว่างที่ยังผ่อนชำระไม่เสร็จสิ้น และหากจะต้องขายในระหว่างผ่อนคู่สามีภริยาจะต้องแบ่งกันอย่างไร เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หากเพียงบันทึกตกลงว่า “ที่ดินและทาวน์เฮาส์เมื่อผ่อนชำระเสร็จสิ้นแล้วจะยกกรรมสิทธิ์ให้ฝ่ายหญิง” นั้น ผลทางกฎหมายก็มีเพียงว่า ฝ่ายหญิงมิได้ยกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทในส่วนของตนทั้งหมดให้โจทก์ร่วม ในระหว่างผ่อนชำระกับบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ จำกัด ดังนั้น กรรมสิทธิ์ในที่ดินและทาวน์เฮาส์พิพาท จึงยังคงเป็นของโจทก์ร่วมและจำเลยร่วมกันในระหว่างผ่อนชำระ หาใช่ที่ดินและทาวน์เฮาส์ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วมทั้งหมดนะครับ