วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

เหตุฟ้องเลิกการรับบุตรบุญธรรม

การเลิกรับบุตรบุญธรรมนั้น  ก็มีอยู่ด้วยกัน  3  กรณี 
กรณีแรก   บุตรบุญธรรม  กับผู้รับบุตรบุญธรรม  ตกลงเลิกกันเอง
กรณีที่ 2  บุตรบุญธรรม  สมรสกับผู้รับบุตรบุญธรรม
กรณีที่ 3  ผู้รับบุตรบุญธรรม  หรือ  บุตรบุญธรรมฟ้องเลิก  การรับบุตรบุญธรรม
ทั้งสามกรณีนี้ก็เป็นการ  เลิกรับบุตรบุญธรรม  นะครับ
ส่วนการฟ้องขอให้  เลิกการรับบุตรบุญธรรม  นั้น กฎหมายก็กำหนดเหตุให้  มีการฟ้องเลิกการรับบุตรบุญธรรมไว้ด้วยกัน  ทั้งหมด  8  เหตุ 
เหตุแรก มีอยู่ว่า   ฝ่ายหนึ่งทำการชั่วร้ายเป็นเหตุให้  อีกฝ่ายหนึ่งอับอายขายหน้าย่างร้ายแรง หรือถูกเกลียดชัง หรือได้รับความเสียหายเดือดร้อนเกินควร   กฎหมายก็กำหนดให้อีกฝ่ายหนึ่งนั้นฟ้อง  เลิกการรับบุตรบุญธรรมได้ 
ตัวอย่างเช่น  ผู้รับบุตรบุญธรรมเป็นเจ้าของซ่องโสเภณีเด็ก  ถูกดำเนินคดีและหนังสือพิมพ์ได้ลงข่าว
เหตุที่  2   ฝ่ายหนึ่งหมิ่นประมาท หรือเหยียดหยามอีกฝ่ายหนึ่ง   หรือบุพการีอย่างร้ายแรง  กฎหมายก็กำหนดให้  อีกฝ่ายหนึ่งสามารถที่จะฟ้อง  เลิกการรับบุตรบุญธรรมได้ 
- หรือถ้าบุตรบุญธรรมหมิ่นประมาท  หรือเหยียดหยามคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมอย่างร้ายแรง  ผู้รับบุตรบุญธรรมก็สามารถที่จะฟ้อง  เลิกการรับบุตรบุญธรรมได้ด้วยเช่นเดียวกัน 
ตัวอย่างเช่น  บุตรบุญธรรมเรียกผู้รับบุตรบุญธรรมว่า  “อ้าย”  ถือว่า  เป็นกรณีร้ายแรง
เหตุที่  3   ฝ่ายหนึ่งประทุษร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง  หรือบุพการี  หรือคู่สมรส  จนเกิดอันตราย  ต่อกาย  หรือจิตใจอย่างร้ายแรง  กฎหมายก็กำหนดให้อีกฝ่ายหนึ่งนั้น  สามารถที่จะฟ้อง  เลิกการรับบุตรบุญธรรมได้  ตัวอย่างเช่น  ใช้ปืนยิงบิดา  ผู้รับบุตรบุญธรรม 
เหตุที่ 4  ฝ่ายหนึ่งไม่อุปการะเลี้ยงดูอีกฝ่ายหนึ่ง  กฎหมายก็กำหนดให้  อีกฝ่ายหนึ่งนั้น  สามารถที่จะฟ้อง  เลิกการรับบุตรบุญธรรมได้
เหตุที่ 5  ฝ่ายหนึ่งทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกินหนึ่งปี  กฎหมายก็กำหนดให้อีกฝ่ายหนึ่งนั้น  สามารถที่จะฟ้อง  เลิกการรับบุตรบุญธรรมได้ ตัวอย่างเช่น  หนีไปอยู่ที่อื่นไม่ติดต่อกลับส่งข่าวมา  หาผู้รับบุตรบุญธรรม
เหตุที่  6  ฝ่ายหนึ่งต้องคำพิพากษาถึงที่สุด  ให้จำคุกเกิน  3  ปี  โดยมิใช่ความผิดที่กระทำโดยประมาท  กฎหมายก็กำหนดให้อีกฝ่ายหนึ่ง  สามารถที่จะฟ้อง  เลิกการรับบุตรบุญธรรมได้
เหตุที่ 7   ผู้รับบุตรบุญธรรมทำผิดหน้าที่บิดามารดา  เป็นเหตุให้เกิด  หรืออาจจะเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง  ต่อบุตรบุญธรรม  กฎหมายก็กำหนดให้บุตรบุญธรรม  สามารถที่จะฟ้องเลิกการรับบุตรบุญธรรมได้  ตัวอย่างเช่น  ผู้รับบุตรบุญธรรมนำที่ดินของบุตรบุญธรรมไปขายโดยไม่ขออนุญาตศาล  หรือว่าบุตรบุญธรรมเจ็บป่วยไม่พาไปหาหมอ
    ทีนี้เรามาดูเหตุสุดท้าย  เหตุที่ 8   ผู้รับบุตรบุญธรรมถูกถอนอำนาจปกครองบางส่วน หรือว่าทั้งหมด  อันเนื่องมาจากเป็นผู้ที่ไม่สมควรที่จะเป็นผู้รับบุตรบุญธรรม  กฎหมายก็กำหนดให้บุตรบุญธรรม  สามารถที่จะฟ้อง  เลิกการรับบุตรบุญธรรมได้

ที่พูดมาทั้ง  8  เหตุนี้  ก็เป็นเหตุตามกฎหมายที่กำหนดให้  ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นบุตรบุญธรรม  หรือผู้รับบุตรบุญธรรม  สามารถที่จะนำเอาเหตุทั้งแปดเหตุนี้  ไปฟ้องขอให้  เลิกการรับบุตรบุญธรรมได้
เช่นเคยเราก็มีคดีตัวอย่างมาเล่าให้ท่านผู้ฟังได้ฟังกัน
เรื่องนี้มีข้อเท็จจริงอยู่ว่า  นายรักเด็กกับนางใจดีเป็นสามีภริยากัน  นางใจดีได้จดทะเบียนรับเด็กหญิงสวยเป็นบุตรบุญธรรม  ส่วนนายรักเด็กเป็นเพียงผู้ให้ความยินยอมในการรับบุตรบุญธรรม
ต่อมานางใจดี  ได้ถึงแก่ความตาย  เด็กหญิงสวยก็เลยทิ้งร้างนายรักเด็ก  ไปอยู่กับบิดามารดาเดิม  ของตนเกินกว่า  1  ปี 
นายรักเด็กเลยฟ้อง  ขอให้เลิกการรับบุตรบุญธรรม  ระหว่างตนเองกับเด็กหญิงสวยต่อศาล
ท่านผู้ฟังว่า  นายรักเด็กจะฟ้องขอให้เลิกการรับบุตรบุญธรรม  ระหว่างตนเองกับเด็กหญิงสวย  ได้ไหมครับ?
เรื่องนี้  ศาลบอกว่า 
นายรักเด็กแม้เป็นเพียงผู้ให้ความยินยอมให้นางใจดี  รับเด็กหญิงสวยเป็นบุตรบุญธรรม  นายรักเด็กก็มีสิทธิฟ้องขอขอให้เลิกการรับบุตรบุญธรรม  ระหว่างตนเองกับเด็กหญิงสวยได้  เมื่อเด็กหญิงสวยจงใจทิ้งร้างนายรักเด็กนั้น  ไปเกินกว่าหนึ่งปีต่อเนื่องกัน  โดยไม่กลับมาอยู่กับนายรักเด็ก 
เรื่องนี้ก็สรุปได้ว่า 
สามีผู้ให้ความยินยอมให้ภริยารับบุตรบุญธรรม  แม้นว่า  ไม่ได้เป็นผู้จดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมเอง  ก็มีสิทธิฟ้องขอให้เลิกการรับบุตรบุญธรรมได้
                        ส่วนอายุความในการฟ้องขอให้  เลิกการรับบุตรบุญธรรม  นั้น  กฎหมายบอกว่า
-                    ห้ามฟ้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี  นับแต่วันที่ผู้ขอเลิก  การรับบุตรบุญธรรมรู้ถึงเหตุ  ที่ให้เลิกการรับบุตรบุญธรรม
-                    หรือเมื่อพ้นกำหนดสิบปีนับแต่เหตุนั้นได้เกิดขึ้น
            
 

การฟ้องขอให้รับรองบุตร

                       การฟ้องขอให้รับรองบุตรนั้น  มีเหตุให้ฟ้องขอให้รับรองบุตรได้กี่เหตุอะไรบ้างที่กฎหมายกำหนดไว้ให้สิทธิหญิงมารดาฟ้องฝ่ายชายให้รับรองบุตรได้
                        ท่านผู้ฟังครับ  การเป็นบุตรชอบโดยด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นบิดานั้นจริงๆแล้วมีอยู่ด้วยกัน    กรณี ครับ   
กรณีแรก  บิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง  ก็คือ  บิดามารดาได้จดทะเบียนสมรสกันนั่นเอง  เมื่อจดทะเบียนสมรสบุตรนั้นก็จะเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายชายนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนสมรสกัน 
                        กรณีที่    บิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตร  เมื่อจดทะเบียนบุตรก็จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายนับแต่วันจดทะเบียนนั้น
                        กรณีที่ ๓  ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย  กรณีนี้บุตรจะเป็นบุตรชอบโดยด้วยกฎหมายของฝ่ายชายก็ต่อเมื่อศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
                        ที่พูดมาก็เป็นวิธีการที่จะทำให้เด็กที่เกิดมาเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายชายผู้เป็นบิดา
                        ส่วนการฟ้องขอให้รับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายนั้น  กฎหมายก็ได้กำหนดให้หญิงมารดามีสิทธิฟ้องชายให้รับเด็กที่เกิดกับตนเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของชายได้หลายกรณีด้วยกันครับ 
กรณีแรก  เมื่อมีการข่มขืนกระทำชำเรา  ฉุดคร่า  หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังหญิงมารดา  โดยมิชอบด้วยกฎหมายในระยะเวลาที่หญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ 
กรณีนี้  หญิงผู้เป็นมารดาก็สามารถที่จะฟ้องชายผู้นั้น  ให้รับเด็กที่เกิดกับตนเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของชายได้
                        กรณีที่ ๒  เมื่อมีการลักพาหญิงมารดาไปในทางชู้สาว  หรือว่ามีการล่อลวงร่วมประเวณีกับหญิงมารดาในระยะเวลาที่หญิงนั้นอาจตั้งครรภ์
กรณีนี้  หญิงผู้เป็นมารดาก็สามารถที่จะฟ้องชายผู้นั้น  ให้รับเด็กที่เกิดกับตนเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของชายได้

กรณีที่ ๓  เมื่อมีเอกสารของบิดาแสดงว่า  เด็กนั้นเป็นบุตรของตน
                        กรณีที่    เมื่อปรากฏในทะเบียนคนเกิดว่า  เด็กเป็นบุตรโดยมีหลักฐานว่า  บิดาเป็นผู้แจ้งการเกิด  หรือว่ารู้เห็นยินยอมในการแจ้ง
ทั้งสองกรณีนี้  หญิงผู้เป็นมารดาก็สามารถที่จะฟ้องชายผู้นั้น  ให้รับเด็กที่เกิดกับตนเอง  เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของชายได้
กรณีที่ ๕  เมื่อบิดามารดาได้อยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผย  ในระยะเวลาซึ่งหญิงมารดาอาจตั้งครรภ์ได้
กรณีที่    เมื่อได้มีการร่วมประเวณีกับหญิงมารดา  ในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้งครรภ์  และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเด็กนั้นมิได้เป็นบุตรของชายอื่น
กรณีที่    เมื่อมีพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่า  เด็กนั้น  เป็นบุตร
ทั้งสามกรณีนี้  หญิงผู้เป็นมารดาก็สามารถที่จะฟ้องชายผู้นั้น  ให้รับเด็กที่เกิดกับตน  เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของชายได้เช่นเดียวกัน
ท่านผู้ฟังครับที่พูดมาทั้ง  7  กรณีข้างต้นก็เป็นข้อสันนิษฐานของกฎหมายที่กำหนดไว้ก่อนว่า  หากมีข้อเท็จจริงดังกรณีใดกรณีหนึ่งทั้ง  7  กรณีนี้เกิดขึ้นกฎหมายก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า  เด็กนั้นเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายชายนะครับ   
คราวนี้เรามาดู  คดีตัวอย่างกัน     
เรื่องนี้ก็มีข้อเท็จจริงอยู่ว่า  นางหนึ่งแต่งงานอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับนายสอง  โดยมิได้จดทะเบียนสมรส  มีบุตรด้วยกัน  1  คน คือ  เด็กหญิงสาม  หลังจากนั้นเกิดข้อพิพาทระหว่างนางหนึ่งกับนายสอง  โดยนางหนึ่งได้ขอให้นายสองไปจดทะเบียนรับรองบุตร  และให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงสาม  แต่นายสองไม่ยินยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของนางหนึ่ง
นางหนึ่งเลยฟ้องนายสองต่อศาล  ขอให้นายสองจดทะเบียนรับรองบุตร  และให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงสาม   หลังจากนั้นนางหนึ่งได้ยินยอมให้บิดามารดาของตนจดทะเบียนรับเด็กหญิงสามเป็นบุตรบุญธรรมในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล
ท่านผู้ฟังว่า  นางหนึ่งจะขอให้ศาลพิพากษาว่า  เด็กหญิงสามเป็นบุตรของนายสอง  โดยให้นายสองไปจดทะเบียนรับรองบุตร  และให้นายสองจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงสามได้ไหม?  ครับ
เรื่องนี้ศาลบอกว่าอย่างนี้ครับ
ประการแรก  ศาลบอกว่า  ไม่ว่าเด็กหญิงสามจะไปอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของบิดามารดาของนางหนึ่ง  หรือว่าต่อมาหลังจากฟ้องคดีแล้วบิดามารดาของนางหนึ่งจะจดทะเบียนรับเด็กหญิงสามเป็นบุตรบุญธรรมแล้วก็ตาม 
ศาลบอกว่า  นางหนึ่งก็ยังมีสิทธิฟ้องขอให้เด็กหญิงสามเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสองได้  แม้นว่าเด็กหญิงสามจะไปเป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่นแล้วก็ตามนะครับ
ประการที่สอง  เมื่อเด็กหญิงสามเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสองแล้ว ศาลบอกว่า  นายสองจึงต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร  นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดเป็นต้นไป  จนกว่าเด็กหญิงสามจะบรรลุนิติภาวะ
เรื่องนี้ก็สรุปได้ว่า  นางหนึ่งสามารถที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า  เด็กหญิงสามเป็นบุตรของนายสอง  และให้นายสองจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้  แม้นว่าเด็กหญิงสามจะไปเป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นแล้วก็ตาม