ทำสัญญากู้แทนการให้สินสอด
โดย...นาวิน วังคีรี น.บ. , น.ม.
หัวหน้าฝ่ายกฎหมายสมาคมเสริมสร้างครอบครัวฯ
ท่านผู้อ่านครับ “สินสอด”
ตามประเพณีไทยเป็นทรัพย์สินที่ฝ่ายชายให้เพื่อเป็นการตอบแทนที่หญิงยอมสมรส
ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิง หรือมีพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบทำให้ชายไม่สมควร หรือไม่อาจสมรสกับหญิงได้นั้น
กฎหมายได้กำหนดไว้ให้ฝ่ายชายมีสิทธิที่จะเรียกสินสอดคืนได้
สินสอดจึงเป็นทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น เงิน
ทอง
หรือสิทธิเรียกร้องที่ฝ่ายชายมอบให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองของฝ่ายหญิง เพื่อตอบแทนในการที่หญิงยอมสมรส เมื่อมีการตกลงให้สินสอดแก่กันแล้ว
แม้นตกลงกันด้วยวาจาก็ถือได้ว่าสมบูรณ์มีผลบังคับได้ โดยการตกลงไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ส่วนการมอบทรัพย์สินที่เป็นสินสอดสินสอดให้แก่กัน
ไม่จำต้องมอบให้ในขณะทำสัญญาจะมอบในเวลาใดๆ และจะเปลี่ยนแปลงหนี้ใหม่โดยทำเป็นสัญญากู้ไว้แทนก็ได้มีผลบังคับได้เช่นเดียวกัน
ซึ่งในเรื่องเกี่ยวกับการให้สินสอดแก่กันโดยแปลงหนี้ใหม่มาเป็นเงินในสัญญากู้นี้
ศาลฎีกาได้เคยมีคำพิพากษาเป็นบรรทัดฐานไว้แล้วว่า
คู่กรณีสามารถทำสัญญากู้แทนการให้สินสอดแก่กันได้ โดยในสัญญาจะกำหนดให้ฝ่ายหญิงเป็นผู้รับเงินสินสอดที่แปลงหนี้ใหม่มาเป็นเงินกู้แทนมารดาตามสัญญากู้ก็ได้ ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย
ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าจำเลยกับนางจิตรมารดาโจทก์ได้จัดให้มีการแต่งงานระหว่างนายวิชาญ
บุตรชายจำเลยกับโจทก์ โดยนางจิตรเรียกเงินค่าสินสอดจากจำเลย จำนวน ๘,๐๐๐บาท ครั้นถึงวันทำพิธีแต่งงานจำเลยบอกนางจิตรว่าจัดหาเงินสินสอดไม่ทัน
ขอให้ทำพิธีแต่งงานไปก่อน และจะนำเงินค่าสินสอดมาให้ในเดือนพฤษภาคมพ.ศ. ๒๕๑๓
เพื่อมิให้เสียพิธีแต่งงานนางจิตรได้ยินยอมให้จำเลยเลื่อนการให้สินสอดออกไป
ครั้นถึงกำหนดจำเลยมาบอกนางจิตรว่า
จัดหาเงินค่าสินสอดไม่ทันขอแปลงหนี้
ใหม่โดยขอทำเป็นสัญญากู้ไว้และขอผัดชำระเงินภายใน ๑๙ เดือน นางจิตร
ยินยอมให้จำเลยขยายเวลาได้อีกแต่ขอโอนเงินดังกล่าวให้โจทก์จำเลยตกลงและทำสัญญากู้ทั้งยอมเสียดอกเบี้ยตามกฎหมายให้โจทก์ยึดถือไว้
ภายหลังจากแต่งงานมารดาโจทก์ได้เคยเตือนให้โจทก์และนายวิชาญไปจดทะเบียนสมรส
แต่ทั้งสองคนละเลยไม่ดำเนินการจดทะเบียนสมรสกัน โดยว่าจะไปจดวันหลังก็ได้
ครั้นอยู่ด้วยกัน๓ เดือน
ก็มีเหตุให้ต้องเลิกร้างกันไปโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส
ต่อมาเมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญากู้ที่จำเลยได้ให้สัญญาไว้ จำเลยก็ดื้อแพ่งไม่ยอมชำระเงินตามสัญญา และเวลาได้ล่วงเลยมานานมากแล้วโจทก์จึงได้ทวงถามจำเลยแต่ก็เพิกเฉย
โจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระเงิน ๘,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่าไม่เคยจัดให้มีการแต่งงานระหว่างนายวิชาญกับโจทก์มารดาโจทก์ไม่เคยเรียกเงินสินสอดจำเลยไม่เคยรับจะชำระเงินสินสอด
โจทก์กับนายวิชาญ
ไปอยู่กินร่วมกันเองจำเลยไม่เคยทำสัญญากู้ให้โจทก์
ลายเซ็นชื่อในสัญญาไม่ใช่ของจำเลยหากเป็นลายเซ็นชื่อของจำเลย
จำเลยก็ถูกหลอกลวงให้ทำขึ้นโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญการสมรสตามกฎหมายมิได้มีขึ้นหากมีการตกลงจะให้ทรัพย์ก็ไม่มีลักษณะเป็นสินสอดตามกฎหมายกรณีเป็นเพียงการจะให้ทรัพย์โดยเสน่หาเท่านั้น
ซึ่งฟ้องร้องบังคับกันมิได้ทั้งมูลหนี้ก็หาได้มีอยู่ไม่หรือมีก็ไม่สมบูรณ์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๘,๐๐๐ บาท
พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินให้แก่โจทก์ไว้จริงและแทนเงินสินสอดซึ่งมีข้อตกลงกันไว้ว่าจะให้แก่มารดาโจทก์แล้ววินิจฉัยว่าอันสินสอดนี้ตามกฎหมายเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดาหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิงเพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส
ทั้งศาลฎีกาเห็นต่อไปว่าหากมีข้อตกลงจะให้สินสอดต่อกันแล้วการให้สินสอดภายหลังการสมรสย่อมทำได้เพราะไม่มีอะไรห้ามซึ่งไม่เหมือนกับของหมั้นอันจะต้องให้กันในเวลาทำสัญญาหมั้นคือก่อนสมรส
ฉะนั้น
เมื่อบิดามารดาโจทก์จัดให้โจทก์และนายวิชาญทำพิธีแต่งงานกันและโจทก์เต็มใจยอมสมรสแล้วมารดาโจทก์ยังได้เตือนให้โจทก์และนายวิชาญ
ไปจดทะเบียนสมรสอีกแต่ทั้งสองคนละเลยไม่ดำเนินการจดทะเบียน
โดยว่าจะไปจดวันหลังก็ได้
ครั้นอยู่ด้วยกัน๓ เดือน
ก็มีเหตุให้ต้องเลิกร้างกันไปโดยไม่ได้จดทะเบียนเช่นนี้จะถือว่าฝ่ายหญิงผิดสัญญาฝ่ายเดียวย่อมไม่ได้
ชายเรียกสินสอดคืนไม่ได้สัญญากู้ตามเอกสารศาลหมายจ.๑
จึงมีมูลหนี้เนื่องมาจากเงินสินสอดดังกล่าวอันเป็นมูลหนี้ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อบิดามารดาโจทก์ได้ตกลงยกให้โจทก์
และจำเลยยินยอมทำสัญญากับโจทก์เพราะมูลหนี้อันนี้แล้ว
จำเลยย่อมต้องถูกผูกพันให้รับผิดตามสัญญากู้เงินที่แปลงหนี้ใหม่
ตามเอกสารศาลหมายจ. ๑ ทุกประการ
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน(คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๘๗๘/๒๕๑๘)
คำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้นเห็นได้ชัดว่า ทรัพย์สินที่เป็นสินสอดนั้นสามารถแปลงหนี้ใหม่ ให้เป็นหนี้เงินกู้แทนกันได้ เมื่อศาลฎีกาวางหลักไว้เช่นนี้แล้ว ฝ่ายชายที่ยังหาสินสอดไม่ได้อ่านแล้วคงจะสบายใจขึ้นพอมีหนทางที่จะไปพูดคุยกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง และขอทำสัญญากู้เงินไว้แทนสินสอดได้ แต่นั่นคงเป็นหนทางสุดท้ายในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น
และไม่น่าจะมีใครเขาทำกันในขณะไปขอบุตรสาว
โดยขอทำสัญญากู้ไว้แทนสินสอดตอบแทนบิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรม หรือผู้ปกครองของฝ่ายหญิงที่ยอมสมรสกับตน
หากทำอย่างนั้นคงต้องถูกไล่ตะเพิดออกจากบ้านอย่างแน่นอน
ดังนั้น การทำสัญญากู้แทนสินสอดในความเป็นจริงแล้วทำได้ยาก
หากบิดามารดาของฝ่ายหญิงไม่ตกลงยินยอมด้วยอย่างนี้ฝ่ายชายคงต้องร้องเพลงรอกันต่อไปอีกนานกว่าจะได้แต่ง และเมื่อตกลงให้สินสอดและแต่งงานกันแล้ว ต่อมาไม่มีการจดทะเบียนสมรสโดยฝ่ายชายและฝ่ายหญิงละเลยไม่ดำเนินการจดทะเบียนสมรสตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น(ทั้งชายและหญิงตกลงจะไปจดทะเบียนกันในวันหลัง) หลังจากนั้นเมื่อมีเหตุให้ต้องเลิกร้างกันไป
ในส่วนของฝ่ายชายซึ่งมีส่วนผิดอยู่ด้วย
จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกสินสอดคืนได้
เว้นเสียแต่ว่าเหตุที่ทำให้ไม่มีการสมรส
(จดทะเบียนสมรส) มีเหตุสำคัญเกิดแก่หญิง
หรือโดยพฤติการณ์ที่ฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบทำให้ฝ่ายชายไม่สมควร หรือไม่อาจสมรสกับหญิงเช่นว่า หญิงคู่หมั้นไปร่วมประเวณีกับชายอื่น หรือหญิงเป็นโรคติดต่อย่างร้ายแรงเป็นต้น
จึงจะเป็นเหตุให้ฝ่ายชายมีสิทธิเรียกร้องสินสอดคืนได้