วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ทำสัญญากู้แทนการให้สินสอด
โดย...นาวิน  วังคีรี น.บ. , น.ม.
หัวหน้าฝ่ายกฎหมายสมาคมเสริมสร้างครอบครัวฯ


            ท่านผู้อ่านครับ  สินสอด  ตามประเพณีไทยเป็นทรัพย์สินที่ฝ่ายชายให้เพื่อเป็นการตอบแทนที่หญิงยอมสมรส  ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิง  หรือมีพฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบทำให้ชายไม่สมควร  หรือไม่อาจสมรสกับหญิงได้นั้น  กฎหมายได้กำหนดไว้ให้ฝ่ายชายมีสิทธิที่จะเรียกสินสอดคืนได้  สินสอดจึงเป็นทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น  เงิน  ทอง  หรือสิทธิเรียกร้องที่ฝ่ายชายมอบให้แก่บิดามารดา  ผู้รับบุตรบุญธรรม  หรือผู้ปกครองของฝ่ายหญิง  เพื่อตอบแทนในการที่หญิงยอมสมรส  เมื่อมีการตกลงให้สินสอดแก่กันแล้ว  แม้นตกลงกันด้วยวาจาก็ถือได้ว่าสมบูรณ์มีผลบังคับได้  โดยการตกลงไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  ส่วนการมอบทรัพย์สินที่เป็นสินสอดสินสอดให้แก่กัน  ไม่จำต้องมอบให้ในขณะทำสัญญาจะมอบในเวลาใดๆ  และจะเปลี่ยนแปลงหนี้ใหม่โดยทำเป็นสัญญากู้ไว้แทนก็ได้มีผลบังคับได้เช่นเดียวกัน  ซึ่งในเรื่องเกี่ยวกับการให้สินสอดแก่กันโดยแปลงหนี้ใหม่มาเป็นเงินในสัญญากู้นี้  ศาลฎีกาได้เคยมีคำพิพากษาเป็นบรรทัดฐานไว้แล้วว่า  คู่กรณีสามารถทำสัญญากู้แทนการให้สินสอดแก่กันได้  โดยในสัญญาจะกำหนดให้ฝ่ายหญิงเป็นผู้รับเงินสินสอดที่แปลงหนี้ใหม่มาเป็นเงินกู้แทนมารดาตามสัญญากู้ก็ได้  ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย
            ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าจำเลยกับนางจิตรมารดาโจทก์ได้จัดให้มีการแต่งงานระหว่างนายวิชาญ บุตรชายจำเลยกับโจทก์ โดยนางจิตรเรียกเงินค่าสินสอดจากจำเลย จำนวน   ๘,๐๐๐บาท ครั้นถึงวันทำพิธีแต่งงานจำเลยบอกนางจิตรว่าจัดหาเงินสินสอดไม่ทัน ขอให้ทำพิธีแต่งงานไปก่อน และจะนำเงินค่าสินสอดมาให้ในเดือนพฤษภาคมพ.ศ. ๒๕๑๓ เพื่อมิให้เสียพิธีแต่งงานนางจิตรได้ยินยอมให้จำเลยเลื่อนการให้สินสอดออกไป
ครั้นถึงกำหนดจำเลยมาบอกนางจิตรว่า จัดหาเงินค่าสินสอดไม่ทันขอแปลงหนี้ ใหม่โดยขอทำเป็นสัญญากู้ไว้และขอผัดชำระเงินภายใน ๑๙ เดือน นางจิตร ยินยอมให้จำเลยขยายเวลาได้อีกแต่ขอโอนเงินดังกล่าวให้โจทก์จำเลยตกลงและทำสัญญากู้ทั้งยอมเสียดอกเบี้ยตามกฎหมายให้โจทก์ยึดถือไว้ ภายหลังจากแต่งงานมารดาโจทก์ได้เคยเตือนให้โจทก์และนายวิชาญไปจดทะเบียนสมรส  แต่ทั้งสองคนละเลยไม่ดำเนินการจดทะเบียนสมรสกัน  โดยว่าจะไปจดวันหลังก็ได้ ครั้นอยู่ด้วยกัน๓  เดือน ก็มีเหตุให้ต้องเลิกร้างกันไปโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส  ต่อมาเมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญากู้ที่จำเลยได้ให้สัญญาไว้  จำเลยก็ดื้อแพ่งไม่ยอมชำระเงินตามสัญญา และเวลาได้ล่วงเลยมานานมากแล้วโจทก์จึงได้ทวงถามจำเลยแต่ก็เพิกเฉย โจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลขอให้ศาลบังคับให้จำเลยชำระเงิน  ๘,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
          จำเลยให้การว่าไม่เคยจัดให้มีการแต่งงานระหว่างนายวิชาญกับโจทก์มารดาโจทก์ไม่เคยเรียกเงินสินสอดจำเลยไม่เคยรับจะชำระเงินสินสอด โจทก์กับนายวิชาญ  ไปอยู่กินร่วมกันเองจำเลยไม่เคยทำสัญญากู้ให้โจทก์ ลายเซ็นชื่อในสัญญาไม่ใช่ของจำเลยหากเป็นลายเซ็นชื่อของจำเลย จำเลยก็ถูกหลอกลวงให้ทำขึ้นโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญการสมรสตามกฎหมายมิได้มีขึ้นหากมีการตกลงจะให้ทรัพย์ก็ไม่มีลักษณะเป็นสินสอดตามกฎหมายกรณีเป็นเพียงการจะให้ทรัพย์โดยเสน่หาเท่านั้น ซึ่งฟ้องร้องบังคับกันมิได้ทั้งมูลหนี้ก็หาได้มีอยู่ไม่หรือมีก็ไม่สมบูรณ์
           ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน  ๘,๐๐๐  บาท  พร้อมด้วยดอกเบี้ยให้โจทก์
          จำเลยอุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
          จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ทำสัญญากู้เงินให้แก่โจทก์ไว้จริงและแทนเงินสินสอดซึ่งมีข้อตกลงกันไว้ว่าจะให้แก่มารดาโจทก์แล้ววินิจฉัยว่าอันสินสอดนี้ตามกฎหมายเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดาหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิงเพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ทั้งศาลฎีกาเห็นต่อไปว่าหากมีข้อตกลงจะให้สินสอดต่อกันแล้วการให้สินสอดภายหลังการสมรสย่อมทำได้เพราะไม่มีอะไรห้ามซึ่งไม่เหมือนกับของหมั้นอันจะต้องให้กันในเวลาทำสัญญาหมั้นคือก่อนสมรส
ฉะนั้น  เมื่อบิดามารดาโจทก์จัดให้โจทก์และนายวิชาญทำพิธีแต่งงานกันและโจทก์เต็มใจยอมสมรสแล้วมารดาโจทก์ยังได้เตือนให้โจทก์และนายวิชาญ ไปจดทะเบียนสมรสอีกแต่ทั้งสองคนละเลยไม่ดำเนินการจดทะเบียน โดยว่าจะไปจดวันหลังก็ได้  ครั้นอยู่ด้วยกัน๓  เดือน ก็มีเหตุให้ต้องเลิกร้างกันไปโดยไม่ได้จดทะเบียนเช่นนี้จะถือว่าฝ่ายหญิงผิดสัญญาฝ่ายเดียวย่อมไม่ได้ ชายเรียกสินสอดคืนไม่ได้สัญญากู้ตามเอกสารศาลหมายจ.๑  จึงมีมูลหนี้เนื่องมาจากเงินสินสอดดังกล่าวอันเป็นมูลหนี้ชอบด้วยกฎหมาย  เมื่อบิดามารดาโจทก์ได้ตกลงยกให้โจทก์  และจำเลยยินยอมทำสัญญากับโจทก์เพราะมูลหนี้อันนี้แล้ว จำเลยย่อมต้องถูกผูกพันให้รับผิดตามสัญญากู้เงินที่แปลงหนี้ใหม่ ตามเอกสารศาลหมายจ. ๑ ทุกประการ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน(คำพิพากษาศาลฎีกาที่  ๘๗๘/๒๕๑๘)
คำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้นเห็นได้ชัดว่า  ทรัพย์สินที่เป็นสินสอดนั้นสามารถแปลงหนี้ใหม่  ให้เป็นหนี้เงินกู้แทนกันได้  เมื่อศาลฎีกาวางหลักไว้เช่นนี้แล้ว  ฝ่ายชายที่ยังหาสินสอดไม่ได้อ่านแล้วคงจะสบายใจขึ้นพอมีหนทางที่จะไปพูดคุยกับพ่อแม่ฝ่ายหญิง  และขอทำสัญญากู้เงินไว้แทนสินสอดได้  แต่นั่นคงเป็นหนทางสุดท้ายในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น และไม่น่าจะมีใครเขาทำกันในขณะไปขอบุตรสาว  โดยขอทำสัญญากู้ไว้แทนสินสอดตอบแทนบิดามารดา  ผู้รับบุตรบุญธรรม  หรือผู้ปกครองของฝ่ายหญิงที่ยอมสมรสกับตน  หากทำอย่างนั้นคงต้องถูกไล่ตะเพิดออกจากบ้านอย่างแน่นอน
ดังนั้น  การทำสัญญากู้แทนสินสอดในความเป็นจริงแล้วทำได้ยาก  หากบิดามารดาของฝ่ายหญิงไม่ตกลงยินยอมด้วยอย่างนี้ฝ่ายชายคงต้องร้องเพลงรอกันต่อไปอีกนานกว่าจะได้แต่ง  และเมื่อตกลงให้สินสอดและแต่งงานกันแล้ว  ต่อมาไม่มีการจดทะเบียนสมรสโดยฝ่ายชายและฝ่ายหญิงละเลยไม่ดำเนินการจดทะเบียนสมรสตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น(ทั้งชายและหญิงตกลงจะไปจดทะเบียนกันในวันหลัง)  หลังจากนั้นเมื่อมีเหตุให้ต้องเลิกร้างกันไป  ในส่วนของฝ่ายชายซึ่งมีส่วนผิดอยู่ด้วย  จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกสินสอดคืนได้  เว้นเสียแต่ว่าเหตุที่ทำให้ไม่มีการสมรส  (จดทะเบียนสมรส)  มีเหตุสำคัญเกิดแก่หญิง  หรือโดยพฤติการณ์ที่ฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบทำให้ฝ่ายชายไม่สมควร  หรือไม่อาจสมรสกับหญิงเช่นว่า  หญิงคู่หมั้นไปร่วมประเวณีกับชายอื่น  หรือหญิงเป็นโรคติดต่อย่างร้ายแรงเป็นต้น  จึงจะเป็นเหตุให้ฝ่ายชายมีสิทธิเรียกร้องสินสอดคืนได้

บิดามารดาจัดการทรัพย์สินของบุตรผู้เยาว์

ถาม  บิดามารดาจะทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ได้หรือไม่  และมีกรณีใดบ้างที่บิดามารดาจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนจึงจะจัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์ได้?

ตอบ  การจัดการทรัพย์สินของบุตรผู้เยาว์  บิดามารดาสามารถกระทำได้เสมอแต่ต้องจัดการทรัพย์สินนั้นด้วยความระมัดระวังเช่นวิญญูชนพึงกระทำ  เนื่องจากการจัดการทรัพย์สินของผู้เยาว์มีผลกระทบต่อผู้เยาว์  กฎหมายจึงกำหนดให้นิติกรรมที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ดังต่อไปนี้  บิดามารดาจะกระทำได้ต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อน  อาทิ

          (๑) ขายแลกเปลี่ยนขายฝากให้เช่าซื้อจำนองปลดจำนองหรือโอนสิทธิจำนองซึ่ง
อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้
           (๒) กระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมด หรือ บางส่วน ซึ่งทรัพยสิทธิของผู้เยาว์อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
           (๓) ก่อตั้งภาระจำยอมสิทธิอาศัยสิทธิเหนือพื้นดินสิทธิเก็บกินภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอื่นใดในอสังหาริมทรัพย์
           (๔) จำหน่ายไปทั้งหมด หรือ บางส่วน ซึ่ง สิทธิเรียกร้องที่จะให้ได้มา ซึ่งทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้หรือ สิทธิเรียกร้อง ที่จะให้ทรัพย์สินเช่นว่านั้นของผู้เยาว์ปลอดจากทรัพยสิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินนั้น
           (๕) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี
           (๖) ก่อข้อผูกพันใดๆที่มุ่งให้เกิดผล ตาม (๑) (๒) หรือ (๓)
           (๗) ให้กู้ยืมเงิน
           (๘) ให้โดยเสน่หาเว้นแต่ จะเอาเงินได้ของผู้เยาว์ให้แทนผู้เยาว์เพื่อการกุศลสาธารณะเพื่อการสังคมหรือตามหน้าที่ธรรมจรรยาทั้งนี้ พอสมควรแก่ฐานานุรูปของผู้เยาว์
            (๙) รับการให้โดยเสน่หาที่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพันหรือไม่รับการให้โดยเสน่หา
            (๑๐) ประกันโดยประการใดๆอันอาจมีผลให้ผู้เยาว์ต้องถูกบังคับชำระหนี้ หรือทำนิติกรรมอื่นที่มีผลให้ผู้เยาว์ต้องรับเป็น ผู้รับชำระหนี้ ของ บุคคลอื่น หรือแทน บุคคลอื่น
            (๑๑) นำทรัพย์สินไปแสวงหาผลประโยชน์เว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้
- ซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทยหรือ พันธบัตร ที่รัฐบาลไทยค้ำประกัน
- รับขายฝากหรือรับจำนองอสังหาริมทรัพย์ในลำดับแรกแต่ จำนวนเงินที่รับขายฝากหรือรับจำนองต้องไม่เกินกึ่งของราคาตลาดของอสังหาริมทรัพย์นั้น
- ฝากประจำในธนาคาร ที่ได้ตั้งขึ้น โดยกฎหมาย หรือที่ได้รับอนุญาต ให้ประกอบกิจการ ในราชอาณาจักร
           (๑๒) ประนีประนอมยอมความ
           (๑๓) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

“ข้อตกลงแบ่งสินสมรส”

            ท่านผู้อ่านครับคู่สามีภริยาจะตกลงทำการหย่ากัน  โดยทำบันทึกตกลงกันเองเป็นหนังสือก็สามารถทำได้  และเมื่อตกลงหย่าขาดจากกันแล้วกฎหมายยังให้สิทธิสามีภริยาแบ่งสินสมรสกันไปในคราวเดียวกันได้ด้วย  โดยการแบ่งสินสมรสนั้นให้ฝ่ายชายและหญิงได้ส่วนในสินสมรสเท่าๆกัน  มุมกฎหมายฉบับนี้ผู้เขียนจะนำเอาเรื่องเกี่ยวกับข้อตกลงหย่า  กรณีที่คู่สามีภริยาตกลงหย่ากันเองแล้วทำบันทึกท้ายทะเบียนหย่าว่า  “ที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์เมื่อผ่อนชำระเสร็จสิ้นจะยกกรรมสิทธิ์ให้ฝ่ายหญิง”  นั้น  มีผลทางกฎหมายอย่างไร  และเมื่อในระหว่างผ่อนชำระยังไม่เสร็จสิ้นสามี  กลับนำเอาทาวน์เฮาส์พร้อมที่ดินไปขายโดยไม่ได้รับความยินยอมจากภริยา  ภริยามีสิทธิฟ้องให้เพิกถอนนิติกรรมการขายได้หรือไม่  เรื่องนี้ศาลฎีกาได้เคยมีคำพิพากษาไว้แล้วครับ
            ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า  โจทก์ร่วมจดทะเบียนสมรสกับจำเลย  เมื่อวันที่    มีนาคม  ๒๕๒๗  ต่อมาเมื่อวันที่    ตุลาคม  ๒๕๓๖  โจทก์ร่วมซื้อทาวเฮ้าส์  เลขที่  ๑๖๑/๘๙๙  ตั้งอยู่บนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๖๑/๘๙๙  ตั้งอยู่บนโฉนดที่ดินเลขที่ ๔๒๗๓๓  จากบริษัทแสนชัยพล  ดีเวลล็อปเม้นท์  จำกัด  โดยการซื้อได้รับความยินยอมจากจำเลย  และโจทก์ร่วมได้จดทะเบียนจำนองไว้แก่บริษัทเครดิตฟองซิเอร์สินเคหการ จำกัด  ต่อมาวันที่  ๒๔  พฤศจิกายน  ๒๕๓๘  โจทก์ร่วมจดทะเบียนหย่ากับจำเลย  และทำบันทึกด้านหลังทะเบียนหย่าว่า  เรื่องทรัพย์สินที่ดิน  ๒๑  ตารางวา  พร้อมบ้านเลขที่  ๑๖๑/๘๙๙  ซึ่งอยู่ระหว่างผ่อนส่งกับบริษัทเครดิตฟองซิเอร์  จำกัด  ซึ่งหากผ่อนส่งชำระเสร็จสิ้นแล้วจะยกกรรมสิทธิ์ให้ฝ่ายหญิง
            ต่อมาวันที่  ๒๔  มกราคม  ๒๕๔๐  โจทก์ร่วมได้ขายที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นน้องสาวในราคา  ๒,๐๐๐,๐๐๐  บาท  ตามหนังสือสัญญาขายที่ดินไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย  แล้วโจทก์นำไปจดทะเบียนจำนองไว้กับธนาคารอาคารสงเคราะห์  ต่อมาเกิดข้อพิพาทระหว่างโจทก์ร่วม  โจทก์  และจำเลยซึ่งเป็นผู้อาศัยอยู่ในทาวน์เฮาส์ที่ไม่ยอมออกจากทาวน์เฮาส์  โจทก์จึงฟ้องขับไล่ขอให้ศาลบังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากทาวน์เฮาส์ และที่ดินที่ตนซื้อมาจากโจทก์ร่วม(สามีจำเลย)
            จำเลยให้การและฟ้องแย้งโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาขอให้ยกฟ้องและเพิกถอนการซื้อขายที่ดินและทาวน์เฮาส์พิพาทระหว่างโจทก์กับนายวุฒิไกร(สามีจำเลย)เฉพาะส่วนของ จำเลย ให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและทาวน์เฮาส์พิพาทให้แก่จำเลยกึ่งหนึ่ง มิฉะนั้นให้ใช้ราคา ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจำเลยจะได้รับชำระแล้วเสร็จ
          โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
          ระหว่างพิจารณา จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกนายวุฒิไกร เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗(๓)  ศาลชั้นต้นอนุญาต
          โจทก์ร่วมขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
          ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์กับโจทก์ร่วมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๒๗๓๓ ตำบลบางขุนศรี (บางเสาธง) อำเภอบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร พร้อมทาว์น์เฮาส์พิพาทเลขที่ ๑๖๑/๘๙๙  เป็นของจำเลยกึ่งหนึ่ง หากโอนไม่ได้ให้ใช้ราคา ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ (ที่ถูกค่าฤชาธรรมเนียมทั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งให้เป็นพับ)
          โจทก์อุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้โจทก์ใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ ๕,๐๐๐  บาท แทนจำเลย
โจทก์ฎีกา  ศาลฎีกาเห็นว่า  คดีนี้มีประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่มาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาตามคำฎีกาของโจทก์ว่า  บันทึกข้อตกลงหลังทะเบียนหย่าที่เขียนไว้ว่า  เรื่องทรัพย์สินที่ดิน  ๒๑  ตารางวา  พร้อมทาวน์เฮาส์เลขที่  ๑๖๑/๘๙๙  ซึ่งอยู่ระหว่างผ่อนส่งกับบริษัทเครดิตฟองซิเอร์  จำกัด  ซึ่งหากผ่อนส่งชำระเสร็จสิ้นแล้วจะยกกรรมสิทธิ์ให้ฝ่ายหญิง  มีความหมายว่า  ให้ทรัพย์สินพิพาทตกเป็นของโจทก์ร่วมทั้งหมดหรือไม่  ในระหว่างผ่อนชำระ  หากตกเป็นของโจทก์ร่วม  โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและทาวน์เฮาส์พิพาทหรือไม่  และจำเลยมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการซื้อขายระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วมได้หรือไม่เพียงใด
ศาลฎีกาแปลความหมายของข้อตกลงนี้ว่า
ประการแรก  เห็นว่า  ข้อตกลงไม่มีข้อความตอนใดระบุว่า  จำเลยยกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินพิพาทให้แก่โจทก์ร่วมทั้งหมด  เพียงแต่ถ้าหากโจทก์ร่วมผ่อนชำระหมดแล้ว  โจทก์ร่วมจะยกกรรมสิทธิ์ส่วนของโจทก์ร่วมให้แก่จำเลยเท่านั้น
ประการที่สอง  เห็นว่า  เมื่อข้อตกลงไม่มีข้อความใดแบ่งแยกสินสมรสกันไว้ว่า  จำเลยยกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินพิพาทให้แก่โจทก์ร่วมทั้งหมด    การแบ่งสินสมรสจึงต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๓๓ ที่บัญญัติว่า ให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน คือ  คนละกึ่งหนึ่ง  เมื่อข้อตกลงหลังทะเบียนหย่า  ไม่มีข้อตกลงในการแบ่งแยกสินสมรสกันไว้  โจทก์ร่วมและจำเลยจึงยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์สินพิพาทคนละส่วนเท่าๆกันในทุกส่วนของทรัพย์สินพิพาท
ประการที่สาม  เห็นว่า  เมื่อโจทก์ร่วมนำที่ดินและทาวน์เฮาส์ซึ่งเป็นสินสมรสที่ยังไม่ได้แบ่งแยกกันไว้ขณะทำบันทึกท้ายทะเบียนหย่าไปขาย  ซึ่งจำเลยยังคงมีกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ร่วม  โดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลย  สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์  จึงมีผลผูกพันเฉพาะส่วนกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วมเท่านั้นไม่ผูกพันจำเลย
เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันกับจำเลยในทุกส่วนแล้ว  โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินและทาวน์เฮาส์พิพาท  ส่วนจำเลยมีสิทธิฟ้องให้เพิกถอนการซื้อขายที่ดินและทาวน์เฮาส์ระหว่างโจทก์กับโจทก์ร่วม  ในส่วนที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ของจำเลยได้  (คำพิพากษาศาลฎีกาที่  ๙๖๐/๒๕๕๒)
คำพิพากษาของศาลฎีกาที่กล่าวมาสรุปได้ว่า  ก่อนที่จะทำบันทึกแบ่งทรัพย์สินกันระหว่างสามีภริยาไว้ในท้ายทะเบียนหย่า  หรือทำข้อตกลงกันเองก็ต้องระบุกันไว้ให้ชัดเจนว่า  ใครได้กรรมสิทธิ์ในสินสมรสระหว่างที่ยังผ่อนชำระไม่เสร็จสิ้น  และหากจะต้องขายในระหว่างผ่อนคู่สามีภริยาจะต้องแบ่งกันอย่างไร  เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  หากเพียงบันทึกตกลงว่า  “ที่ดินและทาวน์เฮาส์เมื่อผ่อนชำระเสร็จสิ้นแล้วจะยกกรรมสิทธิ์ให้ฝ่ายหญิง”  นั้น  ผลทางกฎหมายก็มีเพียงว่า  ฝ่ายหญิงมิได้ยกกรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทในส่วนของตนทั้งหมดให้โจทก์ร่วม  ในระหว่างผ่อนชำระกับบริษัทเครดิตฟองซิเอร์  จำกัด  ดังนั้น  กรรมสิทธิ์ในที่ดินและทาวน์เฮาส์พิพาท  จึงยังคงเป็นของโจทก์ร่วมและจำเลยร่วมกันในระหว่างผ่อนชำระ  หาใช่ที่ดินและทาวน์เฮาส์ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วมทั้งหมดนะครับ

จดทะเบียนสมรสในต่างประเทศ...หย่าในประเทศไทย

ถาม  สามีต่างชาติและภริยาไทยจดทะเบียนสมรสกันในต่างประเทศจะทำการหย่ากันโดยความยินยอมในประเทศไทยได้หรือไม่  และมีผลเป็นอย่างไรบ้าง? 
ตอบ  สามีต่างชาติและภริยาไทยจะจดทะเบียนการหย่ากันในประเทศไทยได้นั้น  กฎหมายแห่งสัญชาติของสามีและภริยาทั้งสองฝ่ายต้องยอมให้หย่ากันได้  ซึ่งการหย่านั้นก็มีอยู่    แบบ 
แบบแรก  เป็นการหย่าโดยความยินยอม  สามีต่างชาติและภริยาจะทำการหย่าได้ก็ต่อเมื่อกฎหมายแห่งสัญชาติของสามีและภริยายินยอมให้คู่สมรสทั้งสองฝ่ายหย่าโดยความยินยอมได้
แบบที่สอง  เป็นการหย่าโดยคำพิพากษาของศาล  ศาลไทยจะไม่พิพากษาให้หย่าขาดจากกัน  เว้นแต่  กฎหมายแห่งสัญชาติของสามีและภริยาทั้งสองฝ่ายยอมให้หย่าได้เช่นเดียวกัน
ดังนั้น  หากสามีต่างชาติและภริยาไทยจดทะเบียนสมรสกันในต่างประเทศ  หากประสงค์จะทำการหย่ากันโดยความยินยอมในประเทศไทยจึงสามารถกระทำได้ตามแบบการหย่าข้างต้น  และมีผลใช้บังคับกันได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๑๔ แม้สามีต่างชาติและภริยาไทยจะมิได้จดทะเบียนสมรสโดยนายทะเบียนประจำสำนัก-นายทะเบียนอำเภอ  หรือกิ่งอำเภอ หรือโดยนายทะเบียน ณ ที่ทำการสถานทูตหรือกงสุลไทยก็ตาม  แต่การหย่านี้จะอ้างเป็นเหตุให้เสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้กระทำโดยสุจริตไม่ได้  เว้นแต่จะได้จดทะเบียนการหย่าแล้ว
ส่วนการจดทะเบียนหย่าในประเทศไทยก็ต้องปฏิบัติตามตามพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.๒๔๗๘ มาตรา ๑๗ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ถ้าการใด ๆ อันเกี่ยวกับฐานะแห่งครอบครัว ได้ทำขึ้นในต่างประเทศซึ่งกฎหมายแห่งประเทศที่ทำขึ้นนั้นบัญญัติไว้ ผู้มีส่วนได้เสียจะขอให้บันทึกในประเทศไทยก็ได้ แต่ต้องยื่นเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการนั้น  โดยมีคำรับรองถูกต้องพร้อมกับคำแปลภาษาไทยซึ่งฝ่ายนั้นต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย และมาตรา ๑๘ บัญญัติว่า การจดทะเบียนการหย่าโดยความยินยอมนั้น ให้นายทะเบียนรับจดต่อเมื่อสามีและภริยาร้องขอ และได้นำหนังสือตามที่ระบุไว้ในมาตรา ๑๕๑๔ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาแสดงต่อนายทะเบียนด้วย จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงว่า แม้สามีภริยาจะจดทะเบียนสมรสกันในต่างประเทศตามแบบกฎหมายของกฎหมายต่างประเทศก็ตาม  หากทั้งสองฝ่ายประสงค์จะจดทะเบียนหย่าโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็สามารถจดทะเบียนหย่าในประเทศไทยตามขั้นตอนของบทกฎหมายดังกล่าวได้