การฟ้องขอให้รับรองบุตรนั้น มีเหตุให้ฟ้องขอให้รับรองบุตรได้กี่เหตุอะไรบ้างที่กฎหมายกำหนดไว้ให้สิทธิหญิงมารดาฟ้องฝ่ายชายให้รับรองบุตรได้
ท่านผู้ฟังครับ การเป็นบุตรชอบโดยด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นบิดานั้นจริงๆแล้วมีอยู่ด้วยกัน ๓ กรณี ครับ
กรณีแรก บิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง ก็คือ บิดามารดาได้จดทะเบียนสมรสกันนั่นเอง เมื่อจดทะเบียนสมรสบุตรนั้นก็จะเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายชายนับแต่วันที่ได้จดทะเบียนสมรสกัน
กรณีที่ ๒ บิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตร เมื่อจดทะเบียนบุตรก็จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายนับแต่วันจดทะเบียนนั้น
กรณีที่ ๓ ศาลพิพากษาว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย กรณีนี้บุตรจะเป็นบุตรชอบโดยด้วยกฎหมายของฝ่ายชายก็ต่อเมื่อศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
ที่พูดมาก็เป็นวิธีการที่จะทำให้เด็กที่เกิดมาเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายชายผู้เป็นบิดา
ส่วนการฟ้องขอให้รับเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายนั้น กฎหมายก็ได้กำหนดให้หญิงมารดามีสิทธิฟ้องชายให้รับเด็กที่เกิดกับตนเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของชายได้หลายกรณีด้วยกันครับ
กรณีแรก เมื่อมีการข่มขืนกระทำชำเรา ฉุดคร่า หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังหญิงมารดา โดยมิชอบด้วยกฎหมายในระยะเวลาที่หญิงนั้นอาจตั้งครรภ์
กรณีนี้ หญิงผู้เป็นมารดาก็สามารถที่จะฟ้องชายผู้นั้น ให้รับเด็กที่เกิดกับตนเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของชายได้
กรณีที่ ๒ เมื่อมีการลักพาหญิงมารดาไปในทางชู้สาว หรือว่ามีการล่อลวงร่วมประเวณีกับหญิงมารดาในระยะเวลาที่หญิงนั้นอาจตั้งครรภ์
กรณีนี้ หญิงผู้เป็นมารดาก็สามารถที่จะฟ้องชายผู้นั้น ให้รับเด็กที่เกิดกับตนเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของชายได้
กรณีที่ ๓ เมื่อมีเอกสารของบิดาแสดงว่า เด็กนั้นเป็นบุตรของตน
กรณีที่ ๔ เมื่อปรากฏในทะเบียนคนเกิดว่า เด็กเป็นบุตรโดยมีหลักฐานว่า บิดาเป็นผู้แจ้งการเกิด หรือว่ารู้เห็นยินยอมในการแจ้ง
ทั้งสองกรณีนี้ หญิงผู้เป็นมารดาก็สามารถที่จะฟ้องชายผู้นั้น ให้รับเด็กที่เกิดกับตนเอง เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของชายได้
กรณีที่ ๕ เมื่อบิดามารดาได้อยู่กินด้วยกันอย่างเปิดเผย ในระยะเวลาซึ่งหญิงมารดาอาจตั้งครรภ์ได้
กรณีที่ ๖ เมื่อได้มีการร่วมประเวณีกับหญิงมารดา ในระยะเวลาซึ่งหญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเด็กนั้นมิได้เป็นบุตรของชายอื่น
กรณีที่ ๗ เมื่อมีพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่า เด็กนั้น เป็นบุตร
ทั้งสามกรณีนี้ หญิงผู้เป็นมารดาก็สามารถที่จะฟ้องชายผู้นั้น ให้รับเด็กที่เกิดกับตน เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของชายได้เช่นเดียวกัน
ท่านผู้ฟังครับที่พูดมาทั้ง 7 กรณีข้างต้นก็เป็นข้อสันนิษฐานของกฎหมายที่กำหนดไว้ก่อนว่า หากมีข้อเท็จจริงดังกรณีใดกรณีหนึ่งทั้ง 7 กรณีนี้เกิดขึ้นกฎหมายก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า เด็กนั้นเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายชายนะครับ
คราวนี้เรามาดู คดีตัวอย่างกัน
เรื่องนี้ก็มีข้อเท็จจริงอยู่ว่า นางหนึ่งแต่งงานอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับนายสอง โดยมิได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กหญิงสาม หลังจากนั้นเกิดข้อพิพาทระหว่างนางหนึ่งกับนายสอง โดยนางหนึ่งได้ขอให้นายสองไปจดทะเบียนรับรองบุตร และให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงสาม แต่นายสองไม่ยินยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของนางหนึ่ง
นางหนึ่งเลยฟ้องนายสองต่อศาล ขอให้นายสองจดทะเบียนรับรองบุตร และให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงสาม หลังจากนั้นนางหนึ่งได้ยินยอมให้บิดามารดาของตนจดทะเบียนรับเด็กหญิงสามเป็นบุตรบุญธรรมในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล
ท่านผู้ฟังว่า นางหนึ่งจะขอให้ศาลพิพากษาว่า เด็กหญิงสามเป็นบุตรของนายสอง โดยให้นายสองไปจดทะเบียนรับรองบุตร และให้นายสองจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงสามได้ไหม? ครับ
เรื่องนี้ศาลบอกว่าอย่างนี้ครับ
ประการแรก ศาลบอกว่า ไม่ว่าเด็กหญิงสามจะไปอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของบิดามารดาของนางหนึ่ง หรือว่าต่อมาหลังจากฟ้องคดีแล้วบิดามารดาของนางหนึ่งจะจดทะเบียนรับเด็กหญิงสามเป็นบุตรบุญธรรมแล้วก็ตาม
ศาลบอกว่า นางหนึ่งก็ยังมีสิทธิฟ้องขอให้เด็กหญิงสามเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสองได้ แม้นว่าเด็กหญิงสามจะไปเป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่นแล้วก็ตามนะครับ
ประการที่สอง เมื่อเด็กหญิงสามเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสองแล้ว ศาลบอกว่า นายสองจึงต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดเป็นต้นไป จนกว่าเด็กหญิงสามจะบรรลุนิติภาวะ
เรื่องนี้ก็สรุปได้ว่า นางหนึ่งสามารถที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า เด็กหญิงสามเป็นบุตรของนายสอง และให้นายสองจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้ แม้นว่าเด็กหญิงสามจะไปเป็นบุตรบุญธรรมของบุคคลอื่นแล้วก็ตาม
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม แม่ยินยอมคนเดียวได้มั๊ยครับ
ตอบลบ