เมื่อมีเหตุทำให้คู่สมรสอยู่ร่วมกันไม่ได้ชีวิตสมรสก็จะสิ้นสุดลงด้วยการหย่าขาดจากกันปัญหาจึงมีตามมาว่า เมื่อกฎหมายมิได้บังคับให้สามีภริยาต้องแบ่งทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสด้วยในขณะจดทะเบียนหย่า หากสามีหรือภริยาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสที่ยังมิได้แบ่งกันไปขายโดยที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ทราบ และไม่ได้รับความยินยอม สัญญาซื้อขายที่ฝ่ายนั้นกระทำลงไปจะมีผลบังคับได้เพียงใด และผู้ที่ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตจะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายหรือไม่นั้น ปัญหานี้ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาไว้แล้ว
ข้อเท็จจริงก็มีอยู่ว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๑ จดทะเบียนสมรสเมื่อปี ๒๕๑๓ ว. ได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ ระหว่างปี ๒๕๑๔ ถึง ๒๕๑๖ จำเลยที่ ๑ เคยขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่ ท. เมื่อปี ๒๕๒๕ และมิได้ไถ่คืนภายในกำหนด ต่อมาจึงได้ซื้อคืนจาก ท. เมื่อปี ๒๕๒๖ และใส่ชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียว จากนั้นจำเลยที่ ๑ กับโจทก์ ได้จดทะเบียนหย่าขาดจากกัน โดยทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสินสมรสต่อท้ายทะเบียนการหย่ายกบ้านพิพาทให้แก่บุตรทั้งสาม แต่บุตรทั้งสามไม่ได้แสดงเจตนาต่อโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญาที่ตนได้รับ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้นำที่ดินและบ้านพิพาทไปขายให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยโจทก์ไม่ทราบและมิได้ยินยอมด้วย
โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและบ้านระหว่างจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยที่ ๒ โอนที่ดินและบ้านกลับคืนให้จำเลยที่ ๑ และให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๑๒๒ ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ประการแรก บันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสินสมรสต่อท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ที่ตกลงยกบ้านพิพาทให้แก่บุตรทั้งสามนั้นเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๔ วรรคหนึ่ง แต่บุตรทั้งสามไม่ได้แสดงเจตนาต่อโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นตามมาตรา ๓๗๔ วรรคสอง กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทจึงยังเป็นของโจทก์กับจำเลยที่ ๑ คนละครึ่ง นอกจากนี้โจทก์ยังอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรส ซึ่งหากฟังได้ตามที่โจทก์อ้าง โจทก์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทคนละครึ่งหนึ่งเช่นเดียวกัน การที่จำเลยที่ ๑ นำที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งโจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมด้วยไปขายให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยโจทก์มิได้ยินยอมด้วย ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองได้
ประการที่สอง ว. ได้ยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๑ ระหว่างปี ๒๕๑๔ ถึง ๒๕๑๖ ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ ๕ เดิม มาตรา ๑๔๖๖ เพราะการให้มิได้แสดงว่าให้ไว้เป็นสินส่วนตัวตามมาตรา ๑๔๖๔(๓) และกรณีเป็นการยกให้ก่อนปี ๒๕๑๙ จึงไม่อาจใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ. ๒๕๑๙ บังคับ นอกจากนี้จำเลยที่ ๑ เคยขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่ ท. เมื่อปี ๒๕๒๕ และมิได้ไถ่คืนภายในกำหนด ต่อมาจึงได้ซื้อคืนจาก ท. เมื่อปี ๒๕๒๖ แม้จะใส่ชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียว ก็ต้องถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสเป็นสินสมรสของโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๑๔๗๔(๑) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ. ๒๕๑๙
ประการที่สาม ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ แม้จำเลยที่ ๒ จะทำสัญญาดังกล่าวกับจำเลยที่ ๑ โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนสัญญาดังกล่าวก็ไม่มีผลผูกพันกรรมสิทธิ์ส่วนของโจทก์ตามมาตรา ๑๓๖๑ วรรคสอง แต่ยังคงมีผลผูกพันกรรมสิทธิ์ในส่วนของจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๑๓๖๑ วรรคหนึ่ง โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรรมสิทธิ์ของโจทก์ได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๕๖๑/๒๕๔๔)
คำพิพากษาศาลฎีกาข้างต้นอาจกล่าวได้โดยสรุปว่า ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นสินสมรสของโจทก์และจำเลยที่ ๑ เมื่อมิได้แบ่งกันในขณะจดทะเบียนหย่าต้องบังคับตามบทบัญญัติว่าด้วยกรรมสิทธิ์ จำเลยที่ ๑ นำสินสมรสไปขายโดยที่โจทก์ไม่ทราบและไม่ยินยอมสัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทจึงมีผลบังคับเฉพาะกรรมสิทธิ์ในส่วนของจำเลยที่ ๑ ฝ่ายที่ขายไปเท่านั้นไม่ผูกพันในส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ผู้ที่ไม่ทราบและไม่ได้ยินยอมด้วย และแม้นข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ผู้ซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจะสุจริตและเสียค่าตอบแทนก็ตาม จำเลยที่ ๒ ก็ไม่อาจอ้างความสุจริตของตนเป็นข้อต่อสู้มิให้ศาลเพิกถอนสัญญาขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างได้ ดังนั้นการที่ศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเฉพาะส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์จึงชอบด้วยเหตุผลและเป็นธรรมแล้ว